ความคิดคำนึงเรื่องความอยุติธรรมในสังคม
ความคิดคำนึงเรื่องความอยุติธรรมในสังคม
——————————————-
คำว่า “อยุติธรรม” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่มีคำหนึ่งที่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ “อธรรม”
คำว่า “อธรรม” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกความหมายไว้ว่า
(๑) ไม่เป็นธรรม, ไม่เที่ยงธรรม, ไม่ยุติธรรม
(๒) ความไม่มีธรรม, ความชั่วร้าย
ทั้งหมดนั่นคือความหมายของ “อยุติธรรม”
วาดภาพเป็นการปฏิบัติก็คือ:
– ไม่ควรถูกกระทำเช่นนั้น ก็มาถูกกระทำ เช่นไม่ควรถูกยิงตายก็มาถูกยิง
– ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม แต่กลับไม่ได้
– ควรได้สิ่งนั้น แต่ไม่ได้
– ไม่ควรได้ แต่กลับได้
– ของของตน แต่มีคนมาแย่ง มาโกง มาบังคับเอาไป
– ถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่เต็มใจทำอันไม่ใช่หน้าที่
– ถูกทำให้เข้าใจผิด เป็นเหตุให้ตัดสินใจผิดจนเกิดผลเสียต่างๆ
ฯลฯ
อาจมีบางกรณี มีองค์ประกอบแวดล้อมหรือมีรายละเอียดเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึก ซึ่งอาจทำให้บางคนเห็นว่ายุติธรรม แต่บางคนเห็นว่าไม่ยุติธรรม นั่นก็ต้องว่ากันเป็นเรื่องๆ ไป แต่หลักๆ จะเป็นดังที่ว่ามา
ความอยุติธรรมเกิดจากใคร?
เดินอยู่ใต้ต้นไม้ กิ่งไม้หักลงมาถูกหัว อยุติธรรมไหม?
เดินอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนอยู่บนต้นไม้จงใจโยนกิ่งไม้ลงมาถูกหัว อยุติธรรมไหม?
บ้านอยู่ชายป่า มีไฟป่าลามมาไหม้บ้าน อยุติธรรมไหม?
บ้านอยู่ชายป่าเหมือนกัน แต่มีคนลอบวางเพลิงเผาบ้าน อยุติธรรมไหม?
จะเห็นได้ว่า ได้รับผลเหมือนกัน แต่เหตุอันเป็นที่มาของผลต่างกัน ก็เป็นเงื่อนไขให้เราเห็นว่าอยุติธรรมหรือไม่อยุติธรรม
แต่ถ้าคิดแบบคนชอบหาเรื่อง ก็อาจมองไปอีกแบบ
กิ่งไม้หักลงมาถูกหัว ก็โทษเจ้าของต้นไม้ว่าไม่ดูแลต้นไม้
ถ้าเป็นต้นไม้สาธารณะ ก็โทษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่าไม่ดูแลต้นไม้ เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ราษฎร
ไฟป่าลามมาไหม้บ้าน ก็โทษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่าไม่ดูแลป่า ปล่อยปละละเลยทำให้เกิดไฟป่า-หรือปล่อยให้คนเข้าไปทำเหตุให้เกิดไฟในป่า
แต่-
ทำไมตนจึงไปอยู่ใต้ต้นไม้
ทำไมจึงไปปลูกบ้านอยู่ชายป่า
ไม่พูด
หรือถ้าจะพูด ก็พูดหาเหตุอื่นๆ แต่ไม่ใช่ตัวเองเป็นต้นเหตุ
แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลที่เห็นชัดๆ (ไม่ต้องมองแบบหาเรื่อง) ว่าเกิดจากการกระทำอย่างจงใจของมนุษย์เท่านั้นที่เราจะยกเอามาพูดว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม
สั้นๆ – อยุติธรรมเกิดจากการกระทำของมนุษย์
ต่อจากตรงนี้ วิธีแก้ไข วิธีจัดการ จะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่วิธีคิดของแต่ละคน
วิธีจัดการแบบหนึ่งที่ยอมรับกันทั่วไปก็คือ แก้ด้วยระบบ คือจัดระบบหรือวางระบบให้ดี ให้รัดกุม
ประชาธิปไตยเป็นระบบหนึ่งที่คนคิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขความอยุติธรรม
ระบบกฎหมายก็ใช่
แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น —
ในตัวประชาธิปไตยเองก็มีความอยุติธรรม
โกงเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส. ได้เป็นรัฐมนตรี หรือแม้แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ในกระบวนการกฎหมาย-ซึ่งเราอุตส่าห์เรียกกันเสียหรูว่า “กระบวนการยุติธรรม” แท้ๆ-ก็มีความอยุติธรรม
เราตกลงกัน-โดยหลักฎหมาย-ว่า ใครฆ่าคน ต้องติดคุกหรือต้องประหาร
ไม่ได้เกิดสงคราม ไม่ได้ทำการตามหน้าที่ ไม่ได้มีกฎหมายยกเว้น อยู่ๆ ไม่พอใจขึ้นมา ชักปืนออกมายิงคน ตาย
แต่คนยิงยังเดินปร๋ออยู่จนทุกวันนี้ ไม่ต้องติดคุก มีถมไป
อีกวิธีหนึ่งที่คนคิดขึ้นเพื่อแก้ไขความอยุติธรรมก็คือ ใช้อำนาจจัดการกับคนที่ก่อความอยุติธรรม
แนวคิดนี้เกิดจาก-มองเห็นว่าความอยุติธรรมเกิดจากคนหนึ่งหรือฝ่ายหนึ่งกระทำเอากับอีกคนหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่เกรงกลัวความผิด
ถ้าเรามีอำนาจ เราก็จะสามารถปราบปรามคนที่กระทำเช่นนั้นได้ ก็จะไม่มีใครกล้าก่อความอยุติธรรม เท่ากับเป็นการสร้างความยุติธรรมให้สังคม
ดังนั้น จึงมีผู้แสวงหาอำนาจ เพื่อให้มีอำนาจ และเพื่อจะได้ใช้อำนาจตามที่ต้องการ
แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้มีอำนาจนั่นแหละที่กลายเป็นผู้สร้างความอยุติธรรมขึ้นมาเสียเอง
จึงต้องสรุปว่า – อยุติธรรมเกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่ไม่มีธรรม คือมนุษย์ที่ถูกกิเลสครอบงำ
กิเลสตัวหลักๆ ที่ครอบงำมนุษย์ก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือโลภ โกรธ หลง
พอพูดว่า-โลภะ โทสะ โมหะ หรือโลภ โกรธ หลง มักจะมีท่านจำพวกหนึ่งฟังอย่างดูแคลนว่าเป็นคำตื้นๆ เป็นธรรมะพื้นๆ ไม่น่าสนใจ
ต้อง-อตัมยตา อัปปมัญญาเจตสิก ปัจจยปริคคหญาณ – นั่นจึงค่อยมีระดับหน่อย
………………..
พฤติกรรมอันเกิดจากโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นสร้างความอยุติธรรมเกลื่อนกลาดไปในสังคม
เราพยายามแก้ไขกันด้วยระบบสารพัดที่จะคิดกันขึ้นมา
แต่สิ่งที่เราไม่คิด ไม่ทำ ไม่เห็นความสำคัญ ก็คือการส่งเสริม สนับสนุน กระตุ้นเตือน ให้มนุษย์ฝึกฝนอบรมตนให้โลภ โกรธ หลง เบาบางจางหายไปจากใจ
โลภ โกรธ หลง เบาบางจางหายไปจากใจมากเพียงไร พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความอยุติธรรมก็จะลดน้อยลงเพียงนั้น
สั้น ตรง
แต่เราไม่ทำ
ใครคิดทำ เชย ล้าสมัย
นอกจากไม่ทำและดูถูกคนคิดทำแล้ว ยังลิดรอนกีดขวางด้วย
วิชาศีลธรรมถูกถอดออกไปจากโรงเรียน
วิชาหน้าที่พลเมืองดีถูกถอดออกไปจากโรงเรียน
ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเลิกพูดเรื่องศีลธรรม
นักเรียนชั้นประถมสวดมนต์ไหว้พระก่อนเข้าชั้นเรียน
นักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ต้อง ไม่มี
ใครอยากโดนด่า ลองไปเสนอให้มีดูสิ
คุณธรรม-ศีลธรรมไม่ได้อยู่ที่การสวดมนต์ก่อนเข้าชั้นเรียน – นั่นแน่! แนวร่วมมาทีเดียว
แม้แต่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ – ผมไม่แน่ใจว่ายังสวดมนต์ก่อนเริ่มชั้นเรียนอยู่หรือเปล่า
เรามองไปว่ากิจกรรมประจำวันพวกนี้ไร้สาระ
………………..
การขัดเกลาจิตใจให้โลภ โกรธ หลง เบาบางจางหายต้องทำในชีวิตประจำวัน พยายามหาโอกาสทำ สร้างโอกาสที่จะทำ ทำทุกโอกาสที่จะทำได้
แต่เรากลับพยายามตัดโอกาสนั้นเสีย
เราทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลไปเพื่อแก้ปัญหาอันเกิดจากความอยุติธรรม-ซึ่งเป็น “ผล”
แต่ตัว “เหตุ” คือโลภ โกรธ หลง เรากลับมองข้าม ปล่อยปละละเลย
เย้ยหยันผู้ที่ฝักใฝ่ในทางธรรมว่าคร่ำครึ ล้าสมัย
เหยียบย่ำกิจกรรมที่ทำเพื่อขัดเกลาจิตใจ
เรารำคาญเสียงสวดมนต์
แต่เราชื่นชมเสียงคนตะโกนหาความยุติธรรม
………….
ในท่ามกลางแห่งความเป็นไปเช่นนี้-ความเป็นไปที่สังคม-อันมีผู้บริหารบ้านเมืองเป็นแกนไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญแก่ศีลธรรม —
ทางรอดของเราแต่ละคนก็คือ อย่ารอ หรือมัวแต่เรียกร้องให้คนอื่นมีศีลธรรม
แต่จงศึกษาเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติดำเนินตามหลักศีลธรรมด้วยตัวของเราเองเป็นเบื้องต้น
ต่อจากนั้นก็แนะนำ บอกกล่าว ชักชวนคนใกล้ชิดเท่าที่จะสามารถทำได้-ตามสติปัญญาและตามกำลังความสามารถ
ทำได้อย่างนี้ แม้อาจจะไม่สามารถแก้ปัญญาความอยุติธรรมในสังคมได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็มั่นใจและสบายใจได้ว่า-ความอยุติธรรมในสังคมไม่ได้เกิดจากเรา
เราเป็นคนหนึ่งแน่ๆ ที่ไม่ได้สร้างความอยุติธรรมให้สังคม
แม้ว่าบางที-จะมีเราเพียงคนเดียวก็ตาม
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
๑๑:๔๔