บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เกินคุ้มแล้วครับ

เกินคุ้มแล้วครับ

—————-

วันพุธที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๒-คือวันนี้ ผมเดินออกกำลังตอนเช้าไปทางสนามกีฬาซึ่งอยู่ทางทิศใต้จากบ้านผม

คนละฟากถนนกับสนามกีฬาเป็นโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี 

ในโรงพยาบาลมีหอพระ 

บนหอพระมีตู้รับบริจาค 

ผมขึ้นไปไหว้พระ แล้วก็บริจาคทรัพย์อันเป็นกิจประจำวัน 

เสร็จแล้วก็ข้ามถนนเข้าไปในสนามกีฬา 

ในสนามกีฬามีถนนสำหรับเดิน-วิ่งรอบสนาม

จากประตูด้านหน้าของสนามกีฬา เมื่อเข้าไปแล้ว เดินหรือวิ่งวนซ้าย (คือให้บริเวณที่กั้นไว้เป็นสนามอยู่ทางซ้ายของเรา) ไปประมาณครึ่งทาง คือเกือบจะถึงด้านหลัง จะมีบริเวณที่เป็นสนามเล็กๆ มีหญ้าขึ้นเต็ม หน้าฝนหญ้าจะเขียวสด ดอกหญ้ามีกลิ่นหอมแรง หน้าแล้งหญ้าออกแดงๆ แต่ก็ยังพอมีกลิ่นดอกหญ้าอยู่บ้าง (มีภาพประกอบ)

ผมชอบไปยืนสูดกลิ่นดอกหญ้าในบริเวณนั้น หญ้าอะไรผมไม่รู้จักชื่อ แต่เป็นหญ้าชนิดเดียวกับ-สมัยที่ผมเป็นเด็กเลี้ยงวัว เคยเกี่ยวหญ้าให้วัว ก็เคยลุยอยู่ท่ามกลางดงหญ้าชนิดนี้ ดอกมีกลิ่นหอมแบบเดียวกันนี้ 

ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นของสมุนไพรตามธรรมชาติ สูดกลิ่นดอกหญ้าเหมือนกำลังรับยาบำรุงร่างกายจากหมอธรรมชาติ 

กลไกการดูแลสุขภาพแบบง่ายๆ ตามธรรมชาติ-แต่เราในสมัยนี้มองข้าม แล้วเอาสุขภาพไปฝากไว้กับยาสมัยใหม่

———————-

ด้านหลังสนามกีฬาเป็นศาลจังหวัดราชบุรี 

คนละฟากถนนกับศาลเป็นโรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ (มีภาพประกอบ)

เมื่อก่อนโรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์เป็นโรงเรียนหญิงประจำจังหวัด คู่กับโรงเรียนเบญจมราชูทิศซึ่งเป็นโรงเรียนชายประจำจังหวัด แต่เดี๋ยวนี้เป็นสหศึกษา-คือมีทั้งหญิงทั้งชายปนกัน-หมดแล้ว

———————-

ออกด้านหลังสนามกีฬา ผมชอบไปยืนสังเกตการณ์ที่หน้าโรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ 

ดูเด็กข้ามถนน 

ดูครูเวรที่มายืนคุมหรือยืนคอยเด็กอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของถนนและที่ประตูโรงเรียน 

ดูลักษณะนิสัยแปลกๆ ของเด็ก 

เด็กหลายคนเดินถือชามอาหารที่ซื้อจากร้านรถเข็นหรือร้านชั่วคราวบริเวณหน้าโรงเรียน ตักอาหารกินไปพลาง เดินข้ามถนนและเข้าประตูโรงเรียนไปพลาง 

ครอบครัวไทยหันมาใช้ระบบ “ทุกมื้อซื้อกิน” กันมากขึ้น และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ

เด็กไทยที่ไม่รู้วิธีหุงข้าวทำกับข้าวกินเองนับวันจะมีมากขึ้น 

ผมนึกถึงพระอนุรุทธเถระ พระอรหันตสาวกที่เลิศทางทิพยจักษุ 

สมัยท่านเป็นฆราวาส ท่านเข้าใจว่าข้าวทุกมื้อที่กินเข้าไปนั้นเกิดในชามข้าว 

เพราะเวลาจะกินก็เห็นข้าวมาอยู่ในชามเรียบร้อยแล้วทุกมื้อไป 

เด็กไทยจะคิดแบบพระอนุรุทธสมัยเป็นฆราวาสกันมากขึ้น

แต่จะมีสักกี่คนที่มีทิพยจักษุล่วงรู้ถึงอนาคตของตัวเองและของชาติบ้านเมืองของตัว

———————-

ผมเดินผ่านหน้าโรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ไปได้หน่อยเดียวก็พอดีได้ยินเสียงเทียบเวลา ๐๘:๐๐ จากเสียงตามสายของเทศบาลเมืองราชบุรี จากนั้นก็เป็นเสียงเพลงชาติ 

ผมหยุดเดิน ยืนตรงเคารพเพลงชาติตามที่เคยปฏิบัติมา

ข้างหน้าผม มีสองหนุ่มกำลังเดินฝ่าเสียงเพลงชาติสวนมาแบบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น (มีภาพประกอบ ถ่ายตอนเขาเดินผ่านผมไปแล้วเมื่อจบเพลงชาติ)

พอใกล้จะถึงผม เขามองมาทางผม แล้วทันใดนั้นเขาก็หยุดเดิน และยืนตรง-เมื่อเสียงเพลงชาติร้องไปได้เกือบครึ่งเพลง 

มาสายดีกว่าไม่มา-ดูคล้ายจะเป็นภาษิตฝรั่ง 

ผมแน่ใจว่า หนุ่มสองคนนั้นหยุดเดินและยืนตรงเคารพเพลงชาติเพราะเขาเห็นผมทำ 

ถ้าผมเดินไปเรื่อยๆ-เหมือนเขา 

เขาก็จะต้องเดินไปเรื่อยๆ-เหมือนผม

อย่าคิดว่าอะไรที่เราทำจะไม่มีความหมาย 

มีคนจำนวนมากที่บอกว่า-หรือที่คิดว่า-เราทำดีอยู่คนเดียว คนทั้งโลกเขาไม่ทำ แล้วเราจะทำไปทำไม 

ไม่สะดุดใจกันบ้างหรือว่า-ก็เพราะแต่ละคน-หรือทุกคน-คิดแบบนี้นั่นไง จึงไม่มีใครทำดี 

เพราะเราคิดอย่างนี้และทำอย่างนี้นั่นไง เราก็จึงเป็นหนึ่งใน “คนทั้งโลก” ที่ถูกยกขึ้นมาอ้าง 

———————-

กรณียืนตรงเคารพเพลงชาติและธงชาตินี้ ผมเคยได้อ่านความเห็นของใครคนหนึ่ง-ดูเหมือนว่าผู้แสดงความเห็นจะเป็นพระสงฆ์ด้วยนะ-ท่านว่า ความรักชาติต้องแสดงออกด้วยการยืนตรงเคารพเพลงชาติเท่านั้นหรือ ทำอย่างอื่นไม่เป็นการรักชาติหรือ 

ผมฟังแล้วก็คันปากเต็มประดา

“ทำอย่างอื่น” น่ะทำอะไร? 

เช่นซื้อสินค้าไทย-ยังงี้พอได้ไหม

พอใครจะซื้อสินค้าไทย มนุษย์ประเภทนี้ก็จะออกมาบอกว่า 

ความรักชาติต้องแสดงออกด้วยการซื้อสินค้าไทยเท่านั้นหรือ ทำอย่างอื่นไม่เป็นการรักชาติหรือ

สรุปว่า-ไม่ว่าใครจะทำอะไร ก็จะออกมาพูดแบบนี้ทุกเรื่องไป

ตกลงว่ามนุษย์ประเภทนี้จะไม่ทำอะไรสักอย่างเดียว-นอกจากคอยพูดขัดคอเท่านั้น อย่างอื่นทำไม่เป็น

———————-

สังคมเรามีคนที่คอยบั่นทอนกำลังใจแบบนี้เยอะมาก ที่อ้างธรรมเนียมชาติโน้นชาตินั้นเขาไม่เห็นต้องยืนตรงเคารพเพลงชาติ-ก็มีมาก 

เพราะฉะนั้น คนจะทำความดีจึงต้องเข้มแข็งมากๆ เริ่มจากต้องมีอุดมคติ-อุดมการณ์ที่มั่นคง แม้มีเราเพียงคนเดียว ก็จะทำ 

ผมยืนตรงเคารพเพลงชาติ ไม่ได้หวังว่าจะทำให้ใครดู ผมทำเพราะพิจารณาด้วยสติปัญญาแล้วเห็นว่าเป็นกิจอันพึงทำ

การที่มีคนเห็น แล้วเป็นเหตุให้เขาทำตาม ถือว่าเป็นกำไรที่วิเศษมากๆ 

จุดประกายให้เกิดกำลังใจในการทำอย่างอื่นๆ ต่อไปอีก 

———————-

เช่น-ความเป็นจริงที่น่าตระหนกว่า ชาวพุทธระดับรากหญ้าในสังคมไทยขาดความรู้ความเข้าใจในหลักพระศาสนาอย่างยิ่ง ส่วนมากมีแต่ศรัทธา แต่ไม่มีปัญญา-ไม่มีปัญญาแม้ในเรื่องที่ตนกำลังศรัทธาอยู่นั่นแท้ๆ 

ผมก็เกิดกำลังใจที่จะศึกษาหาความรู้ในหลักพระศาสนา แล้วเอาความรู้นั้นไปบอกกล่าวเผยแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ต่อไปเท่าที่จะสามารถทำได้-ดังที่ได้ทำมานานแล้ว กำลังทำอยู่ และจะทำต่อไป 

ผมจะไม่คิดว่า เราทำอยู่คนเดียว คนทั้งโลกเขาไม่ทำ แล้วเราจะทำไปทำไม 

มีใครได้ประโยชน์ไปจากเรา-แม้คนเดียว ก็คุ้มแล้ว

ผมยืนตรงเคารพเพลงชาติมาตลอดชีวิต 

วันนี้มีคนทำตามผมตั้ง ๒ คน 

เกินคุ้มแล้วครับ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๙ มกราคม ๒๕๖๒

๑๒:๑๒

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *