มอง “กตัญญู” ให้ถูกมุม
มอง “กตัญญู” ให้ถูกมุม
———————–
พอเอ่ยคำว่า “กตัญญู” คนส่วนมากมักจะวาดภาพออกมาเป็น —
คนคนหนึ่งต้องยอมสยบให้แก่อีกคนหนึ่งอย่างราบคาบ
คนคนหนึ่งต้องรับภาระบริการให้แก่อีกคนหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้
คนคนหนึ่งต้องทิ้งอิสระเสรีในชีวิตของตนเพื่อรับใช้อีกคนหนึ่งอย่างไม่มีเงื่อนไข
ฯลฯ
เพราะคิดอย่างนี้ จึงทำให้คนรุ่นใหม่ที่บูชาความเสมอภาค บูชาเสรีภาพ พากันปฏิเสธ “กตัญญู” ดังแนวคิดที่แสดงออกทั่วไป เช่น –
พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ
ครูบาอาจารย์ไม่มีบุญคุณ
พระมหากษัตริย์ไม่มีบุญคุณ
สถาบันกษัตริย์ไม่มีประโยชน์
พระสงฆ์ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ไม่จำเป็นต้องบริการพระสงฆ์ให้ต่างไปจากประชาชนทั่วไป
ฯลฯ
ยิ่งเราแปล “กตเวที” (กตเวทีเป็นคำที่มาคู่กับกตัญญู) ว่า “ตอบแทนคุณ” ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดต่อต้านคุณธรรมกตัญญูให้ตกลึกลงไปอีก เพราะรู้สึกว่า-มันเรื่องอะไรที่คนหนึ่งจะต้องไปเป็นทาสรับใช้อีกคนหนึ่งแบบนั้น
………………..
โดยหลักภาษา คำว่า “กตัญญู” หมายถึงตัวบุคคล ถ้าหมายถึงคุณธรรมของบุคคล ท่านใช้คำว่า “กตัญญุตา” แปลว่า “ความเป็นผู้กตัญญู” (gratefulness)
แต่ในภาษาไทย เรามักพูดคลุมๆ ไปว่า “กตัญญู” โดยหมายถึงทั้งตัวบุคคลและคุณธรรมของบุคคล
“กตัญญู” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้สิ่งที่ถูกทำไว้” (knowing what has been done)
กต = สิ่งที่ถูกทำไว้
ญู = ผู้รู้
ขยายความว่า เราได้เห็น ได้สัมผัส ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีผู้ทำไว้ หรืออะไรสักอย่างที่มีใครหรือกระบวนการอะไรสักอย่างทำให้มันมีขึ้นเกิดขึ้น แล้วเราไปหยิบฉวยเอาประโยชน์หรือได้รับประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งจากสิ่งนั้น ครั้นแล้วเราก็ยอมรับว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์สำหรับเรา – นี่คือความหมายของกตัญญูหรือกตัญญุตา
พูดสั้นๆ กตัญญู คือยอมรับว่าสิ่งนั้นหรือคนนั้นมีประโยชน์ (gratitude)
ส่วน “กตเวที” แปลตามศัพท์ว่า “บอกให้รู้ว่าเรายอมรับว่าสิ่งนั้นหรือคนนั้นที่เป็นผู้ทำสิ่งนั้นมีประโยชน์”
กตัญญู คือตัวเองยอมรับ (ตัวเองรู้อยู่คนเดียว)
กตเวที คือบอกให้คนอื่นรับรู้ถึงการยอมรับของตัวเองด้วย
กตัญญู = ฉันรู้แล้ว
กตเวที = บอกคนอื่นให้รู้ด้วยว่าฉันรู้แล้ว
ตามหลักภาษา จะเห็นได้ว่า กตัญญูกตเวที ไม่ได้มีความหมายเลยว่า คนคนหนึ่งจะต้องยอมเป็นทาสรับใช้ของอีกคนหนึ่ง หรือคนคนหนึ่งจะต้องหาอะไรไปประเคนให้อีกคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
กตัญญูกตเวที เป็นเรื่องของการรับรู้และแสดงออกให้เห็นว่าเรารับรู้-แค่นี้เอง
ท่านไม่ได้สอนหรือสั่งให้ใครไปเป็นทาสรับใช้ใครที่ไหนเลย
แต่ใครจะมีวิธีแสดงออกให้โลกรู้ว่าตนมีกตัญญูอย่างไร ก็เลือกแสดงออกได้โดยเสรี ท่านไม่ได้บังคับว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นเสรีภาพทางธรรมที่เปิดกว้างอย่างยิ่ง
ใครจะทำหรือไม่ทำ เชิญตามสบาย
และถ้าทำ จะทำด้วยวิธีการอย่างไร ก็เชิญตามสบายอีกเช่นกัน
………………..
ส่วนกรณีที่ใครควรทำอะไรให้แก่ใครนั้น ท่านสอนไว้เป็นต่างหากอีกส่วนหนึ่ง เป็นคนละเรื่องกับกตัญญู
เช่น –
สามีควรทำอะไรให้ภรรยา
ภรรยาควรทำอะไรให้สามี
ลูกควรทำอะไรให้พ่อแม่
พ่อแม่ควรทำอะไรให้ลูก
ศิษย์ควรทำอะไรให้ครูบาอาจารย์
ครูบาอาจารย์ควรทำอะไรให้ศิษย์
ผู้บังคับบัญชาควรทำอะไรให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
ผู้ใต้บังคับบัญชาควรทำอะไรให้ผู้บังคับบัญชา
ชาวบ้านควรทำอะไรให้พระสงฆ์
พระสงฆ์ควรทำอะไรให้ชาวบ้าน
อย่างนี้เป็นต้น
โปรดสังเกตว่า เรื่องใครควรทำอะไรให้ใครนี้ท่านสอนทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่สอนฝ่ายหนึ่งให้ทำแก่ฝ่ายหนึ่งข้างเดียว อีกฝ่ายนั่งรับประโยชน์หรือนอนเสวยผลอย่างเดียว แต่สอนให้ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตน ไม่ต้องอ้างถึงกตัญญูหรือไม่กตัญญู แต่ยึดหน้าที่เป็นหลัก
………………..
อนึ่ง ผู้รู้ท่านแสดงหลักความจริงไว้ว่า –
………………………………….
อาหารนิทฺทา ภยเมถุนญฺจ
สามญฺญเมตปฺปสุภี นรานํ
ธมฺโมว เตสํ อธิโก วิเสโส
ธมฺเมน หีนา ปสุภี สมานา.
กิน นอน กลัว สืบพันธุ์
มีเสมอกันทั้งคนและสัตว์
ธรรมทำให้คนประเสริฐเหนือสัตว์
เสื่อมจากธรรม คนก็ต่ำเท่ากับสัตว์
………………………………….
การที่มนุษย์มีคุณธรรมคือกตัญญู (ตามความหมายที่อธิบายข้างต้น) ย่อมเป็นเครื่องประกาศถึงความเป็นมนุษย์ของตัวเอง เพราะกตัญญู (ตามความหมายที่อธิบายข้างต้น) เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งรวมอยู่ในคำว่า “ธรรม” (บาลีข้างต้น – ธมฺโม)
คุณธรรมคือกตัญญูนี้สัตว์มันไม่รู้จัก มันมีไม่เป็น (เว้นแต่สัตว์ที่ท่านเล่าเป็นบุคลาธิษฐานในนิทานชาดก)
การมีธรรมคือกตัญญูจึงไม่ใช่มีเพื่อทำให้นักสอนศาสนาถูกใจ-ว่า เออ คนนี้ดี ปฏิบัติตามคำสอนของเรา
หรือมีเพื่อให้ใครยกย่องชื่นชม
หากแต่มีตามหน้าที่ของมนุษย์
ใครรู้ตัวว่าตัวเองเป็นมนุษย์ ก็สมควรมี
ใครไม่มีกตัญญู (ตามความหมายที่อธิบายข้างต้น) ก็ไม่มีใครไปทำอะไรใครได้ เพราะมันเป็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์อยู่แล้วที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
มนุษย์กับสัตว์มีพฤติกรรมที่เป็นมาตรฐานกลางร่วมกันอยู่แล้วตามธรรมชาติ (กิน นอน กลัว สืบพันธุ์)
ใครไม่มีธรรมคือกตัญญู (ตามความหมายที่อธิบายข้างต้น) ก็ไม่ต้องมีใครไปประกาศตัดสินว่าดีชั่วถูกผิดประการใดให้อีก
พฤติกรรมของตนประกาศตัวเองอยู่แล้วในตัว
ไม่มีใครต้องไปทำอะไรให้ใคร แต่ละคนทำเอาเอง
ทำใครทำมัน เลือกทำเอาสิ
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๔
๑๖:๒๖