ตอบปัญหาเรื่องกฐิน (๑)
ตอบปัญหาเรื่องกฐิน (๓) ตอน ๒
———————
……………………………………
ปัญหาเรื่องกฐิน (๓)
……………………………………
………………………………..
๒ พระ ๕ รูปนั้นต้องจำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกัน
หรือว่านิมนต์มาจากวัดอื่นเพื่อให้ครบ ๕ รูปก็ได้
………………………………..
ประเด็นนี้มีปัญหามากที่สุด และถกเถียงกันมากที่สุด จุดเด่นของการยกขึ้นมาถกเถียงอยู่ตรงที่ “กฐินพระองค์เดียว” คือมีการยกหลักฐานมาเสนอว่า ภิกษุจำพรรษาอยู่รูปเดียวก็สามารถรับกฐินได้ โดยวิธีนิมนต์พระจากต่างวัดมารวมสังฆกรรมให้ครบ ๕ รูป ก็เป็นอันใช้ได้
กลายเป็นข้อยุติว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องพูดกันอีกแล้วว่า พระจำพรรษากี่รูปจึงจะรับกฐินได้ เพราะมีหลักฐานว่า ภิกษุจำพรรษาอยู่รูปเดียวก็สามารถรับกฐินได้ เพราะฉะนั้น วัดไหนมีพระครบ ๕ รูปหรือไม่ครบก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ขอให้มีพระอยู่จำพรรษาก็แล้วกัน ญาติโยมเอากฐินไปทอดได้ทั้งนั้น สบายใจ ไชโย พระแฮปปี้แล้ว
นึกไปก็สงสารคนรุ่นเก่า สมัยก่อนโน้น-ตีเสียว่ากว่าครึ่งศตวรรษที่ล่วงมา ใกล้เข้าพรรษา วัดไหนทำท่าว่าจะมีพระจำพรรษาไม่ถึง ๕ รูป ชาวบ้านจะเดือดร้อนใจมาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็อยู่ไม่เป็นสุข ต้องช่วยกันคิดหาทาง-หาพระมาให้ได้ ๕ รูปเป็นอย่างน้อย
เคยได้ยินว่า หาวิธีอื่นไม่ได้ บางทีชาวบ้านต้องใช้วิธีขอร้องหรือถึงกับบังคับผู้ชายในหมู่บ้านนั้นเองที่พอจะบวชได้ให้บวชก่อนเข้าพรรษานั้น-แบบนี้ก็มี
เหตุผลมีประการเดียวเท่านั้น คือ เขาเชื่ออย่างมั่นใจว่า พระจำพรรษาน้อยกว่า ๕ รูป รับกฐินไม่ได้
เมื่อหลายปีก่อน ใครจำได้บ้าง กรณีที่มีแนวคิดจัดหาพระจากภาคอื่นไปจำพรรษาที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งแต่ละวัดขาดแคลนพระ เกณฑ์อย่างหนึ่งที่ยกขึ้นมาใช้ในการหาพระไปจำพรรษาก็คือ ต้องให้ได้พระอย่างน้อยวัดละ ๕ รูป ตัวเลข ๕ รูป ก็มาจากเหตุผลเรื่องรับกฐินนี่เช่นกัน
การพบหลักฐานว่า พระจำพรรษารูปเดียวก็รับกฐินได้ ทำให้เหตุผลของคนเก่าๆ กลายเป็นเรื่องน่าสงสารไปโดยสิ้นเชิง
ก็ควรให้อภัย เพราะคนรุ่นเก่าก็ศึกษาเรียนรู้กันไปตามวิสัยสามารถในเวลานั้น คนรุ่นใหม่ศึกษาค้นคว้าได้กว้างขวางกว่า ละเอียดกว่า ก็เป็นที่น่ายินดี และต้องยอมรับในข้อมูลใหม่ที่ได้มา
อย่างไรก็ตาม ผมมีแง่คิดว่า แง่หนึ่งที่เราน่าจะถอยมาตั้งหลักกันให้ดี หรือถอยมาตั้งหลักกันใหม่ก็คือ การอ้างอิงความเห็นของตัวบุคคล
สิ่งที่เรากำลังทำพลาดก็คือ เราไม่อ้างอิงถึงหลักฐานหรือหลักวิชา แต่เราไปอ้างตัวบุคคล
เช่นอ้างว่า –
ท่านเจ้าคุณนั่นท่านว่าอย่างนี้
ท่านพระมหานี่ท่านว่าอย่างโน้น
ท่านอาจารย์โน้นท่านว่าอย่างนั้น
ทีนี้ใครชอบใคร ใครไม่ชอบใคร ต่างก็แยกถือกันไปตามที่ตนชอบ ไม่ต่างอะไรกับการชอบใจคำสอนธรรมะของอาจารย์ที่เรากำลังยึดติดกันอยู่ในเวลานี้ อ้างคำสอนของอาจารย์ แต่ไม่อ้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าตามไปดูมติที่ตัวบุคคลเสนอออกมา ก็จะพบว่า ท่านเหล่านั้นไม่ได้แสดงความเห็นลอยๆ หรือคิดเอาเอง เข้าใจเอาเอง กำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมาเอง หากแต่ท่านก็อ้างหลักฐานหรือหลักวิชากำกับอยู่ด้วยเสมอ
พูดให้ขำๆ ว่า ต้นธาตุต้นธรรมอยู่ที่นั่น-อยู่ที่หลักฐานหรือหลักวิชาที่ท่านอ้าง ไม่ได้อยู่ที่ตัวท่าน พูดให้ขำๆ ต่อไปอีกก็ว่า-เพราะท่านไม่ได้ตรัสรู้ด้วยตัวท่านเอง ท่านก็ศึกษามาจากหลักฐานหรือหลักวิชาอีกทีหนึ่งนั่นเอง
หน้าที่ของเราก็คือ ตามไปดู ตามไปศึกษาหลักฐานหรือหลักวิชาที่ท่านอ้าง ไม่ใช่ยึดอยู่กับความเห็นที่ท่านนำมาเสนอ
หน้าที่ของเราก็คือตามไปศึกษาหลักฐานหรือหลักวิชานั้นๆ ด้วยตัวของเราเอง ซึ่งเมื่อเราได้ศึกษาแล้วจะมีความเห็นตรงตามที่ท่านเห็น หรืออาจจะมีความเห็นต่างไปจากที่ท่านเห็น ก็ย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพโดยสมบูรณ์ของเรา และนั่นก็จะเป็นความเห็นตามหลักฐาน ไม่ใช่ความเห็นตามความเห็นของตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้ ตัวบุคคลก็ไม่ต้องกระทบกัน เป็นเรื่องระหว่างบุคคลกับหลักฐานหรือหลักวิชา ไม่ใช่เรื่องระหว่างท่านผู้นั้นกับท่านผู้ไหน หรือระหว่างเรากับใครหรือใครกับเรา เพราะต่างก็มีหน้าที่ใช้สติปัญญาศึกษาหลักฐานหรือหลักวิชานั้นให้กระจ่างแจ้งชัดเจน
ช่วยกันศึกษา ช่วยกันคิด และช่วยกันหาหนทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม ดีงาม เป็นทางปฏิบัติร่วมกัน ไม่ใช่ทางปฏิบัติของใครของมัน
……………
อนึ่ง ในกระบวนการศึกษาคัมภีร์ แนวที่ท่านถือกันมาเป็นหลักก็คือ –
พระบาลีพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานชั้นต้น มีน้ำหนักมากที่สุด
อรรถกถา มีน้ำหนักรองลงมาจากพระบาลี
ฎีกา มีน้ำหนักรองลงมาจากอรรถกถา
ถ้าเราถือหลักเดียวกัน ถือตรงกัน การร่วมกันช่วยกันศึกษาของพวกเราก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี
พึงระลึกว่า ตราบใดที่ยังแยกกลุ่มกันศึกษา ตราบนั้นความเห็นต่างและความขัดแย้งกันก็จะไม่มีทางหมดไป อย่าว่าแต่แยกกันเป็นกลุ่มย่อย ๓ คน ๕ คนเลย แม้แต่รวมกันเป็นจังหวัดหรือรวมกันเป็นภาค ก็ยังจะต้องขัดแย้งกันอยู่นั่นเอง
เช่น –
คณะสงฆ์จังหวัดนั้นภาคนั้นศึกษาเรื่องกฐินแล้วมีความเห็นว่าอย่างนี้
คณะสงฆ์จังหวัดนี้ภาคนี้ศึกษาเรื่องกฐินแล้วมีความเห็นว่าอย่างโน้น
คณะสงฆ์จังหวัดโน้นภาคโน้นศึกษาเรื่องกฐินแล้วมีความเห็นว่าอย่างนั้น
หนทางที่จะเป็นเอกภาพได้ก็คือ คณะสงฆ์ไทยร่วมกันศึกษาตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า –
………………………………..
ตตฺถ สพฺเพเหว สมคฺเคหิ สมฺโมทมาเนหิ อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพํ.
เราทั้งปวงพึงพร้อมเพรียงกัน ชื่นชมยินดีต่อกัน อย่าได้ขัดแย้งกัน ศึกษาเรื่องนั้นเถิด
(มหาวิภังค์ ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๘๘๑)
………………………………..
ได้ข้อยุติอย่างไร ประกาศออกมาเป็นมติของคณะสงฆ์ไทย-เรื่องกฐิน คณะสงฆ์ไทยมีมติให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้ ๑… ๒… ๓… แล้วพร้อมใจกันปฏิบัติให้เป็นเอกภาพทั่วสังฆมณฑล
คณะสงฆ์ไทยมีศักยภาพที่จะทำได้อยู่แล้ว ทั้งกำลังบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีอยู่พร้อมพรั่ง ทั้งกำลังสนับสนุนไม่ว่าจะด้านใดๆ
รออยู่อย่างเดียวคือ คำสั่งให้ลงมือปฏิบัติเพื่อการศึกษาค้นคว้าหาข้อยุติ
และรออยู่อย่างเดียวว่า ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในการบริหารการพระศาสนาท่านรู้หรือยังว่า ท่านมีอำนาจและมีหน้าที่ที่จะต้องสั่งให้ทำ
…………………..
ในที่สุดนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการศึกษา ผมขอนำเสนอคัมภีร์ที่เป็นหลักฐานแสดงเรื่องกฐิน ดังนี้ –
๑ กฐินขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๕-๑๒๗ (ต้นเหตุที่เกิดพุทธานุญาตเรื่องกฐินและรายละเอียดต่างๆ)
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๗ หน้า ๑๙๓-๒๒๖
๒ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาวินัยปิฎก ภาค ๓ อธิบายกฐินขันธกะ หน้า ๒๓๒-๒๔๔ (คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ ภาค ๓ หน้า ๒๐๘-๒๑๙)
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๗ หน้า ๒๒๖-๒๔๐ (คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ ตติยสมันตปาสาทิกาแปล มหาวรรค ตอน ๒ หน้า ๓๐๗-๓๒๔)
๓ กฐินเภท คัมภีร์ปริวาร วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๘ ข้อ ๑๑๒๔-๑๑๖๐
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๑๐ หน้า ๗๒๖-๗๔๘
๔ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาวินัยปิฎก ภาค ๓ อธิบายกฐินเภท หน้า ๖๒๖-๖๒๙ (คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ ภาค ๓ หน้า ๕๖๖-๕๖๙)
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๗ หน้า ๗๔๘-๗๕๓ (คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ ปัญจมสมันตปาสาทิกาแปล ปริวารวัณณนา หน้า ๘๙๒-๘๙๗)
๕ เรื่องพระที่รับกฐินได้และรับไม่ได้ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาวินัยปิฎก ภาค ๓ หน้า ๒๑๐
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล เล่มที่ ๗ หน้า ๒๒๙ (คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ ตติยสมันตปาสาทิกาแปล มหาวรรค ตอน ๒ หน้า ๓๑๐)
๖ วินยสังคหอัฏฐกถา หน้า ๒๙๗, วินยาลังการฎีกา ภาค ๒ หน้า๑๒๕, วินยวินิจฉยฎีกา ภาค ๒ หน้า๒๓๑ (อ้างตามเรื่อง “กฐินพระองค์เดียว”)
๗ กังขาวิตรณี อรรถกถาแห่งพระปาฏิโมกข์ ตอนว่าด้วยกฐินสิกขาบท ฉบับอักษรไทย กงฺขา.อ.๕๒๔/๑๘๒ ฉบับอักษรพม่า กงฺขา.อ.๑๕๒ (อ้างตามเรื่อง “กฐินพระองค์เดียว”)
๗ วชิรพุทฺธิฏีกา หน้า ๔๙๗ (อ้างตามเรื่อง “กฐินพระองค์เดียว”)
๘ จีวรขันธกะ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๑๒๘-๑๗๒
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๗ หน้า ๒๔๑-๓๑๖
(เฉพาะเรื่องภิกษุจำพรรษารูปเดียว ข้อ ๑๖๔ หน้า ๒๙๖-๒๙๘)
๙ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาวินัยปิฎก ภาค ๓ อธิบายจีวรขันธกะ หน้า ๒๔๕-๒๙๑
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลชุด ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๗ หน้า ๓๑๙-๓๗๓ (คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ ตติยสมันตปาสาทิกาแปล มหาวรรค ตอน ๒ หน้า ๓๒๕-๓๘๗)
(เฉพาะเรื่องภิกษุจำพรรษารูปเดียว หน้า ๓๔๖-๓๔๘, คัมภีร์ชุดหลักสูตรเปรียญ หน้า ๓๕๖-๓๕๘)
๑๐ วินัยมุข เล่ม ๓ หลักสูตรนักธรรมชั้นเอก พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กัณฑ์ที่ ๒๖ กฐิน หน้า ๗๓-๘๕
ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้น โปรดช่วยกันตรวจสอบเพื่อความถูกต้องต่อไปด้วย
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๕ กันยายน ๒๕๖๔
๑๘:๕๐
……………………………………