ออกกำลังรักษาพระศาสนา
ออกกำลังรักษาพระศาสนา
—————————-
ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมเจอในเวลาเดินออกกำลังตอนเช้าก็คือ เจอหมาไล่เห่า
หมาในบ้านหรือหมาที่ล่ามไว้ไม่เป็นปัญหา
หมาจรจัดทั่วไปก็ไม่เป็นปัญหา ต่างคนต่างไป ทางใครทางมัน
แต่หมาที่ปล่อยเป็นอิสระหรืออาศัยอยู่หน้าบ้าน มีปัญหามาก
ทั้งเห่า ทั้งรุม ทั้งไล่ และบางทีก็กัดเอาด้วย
หลายเส้นทางที่เคยเดิน ตอนนี้ผมก็ไม่ไปแล้ว ไม่อยากมีปัญหากับหมา
ผมสังเกตเห็นว่า หมาที่ปล่อยเป็นอิสระอยู่หน้าบ้านในซอย ชอบนอนกลางถนน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไร จะว่าอุณหภูมิกลางถนนอุ่นสบายกว่าริมถนนก็ไม่น่าจะใช่
เวลามีรถผ่านมาก็ไม่ค่อยหลบ แม้หลบก็ลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ พอรถผ่านก็กลับไปนอนกลางถนนเหมือนเดิมอีก
หมาชนิดนี้แหละถ้ารถคันไหนไปชนหรือทับเข้า สังคมก็จะเกิดอาการที่เรียกกันว่า ดราม่า คือรุมกันตำหนิติเตียนคนขับรถว่าใจร้ายใจดำอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งหมา
แต่ถ้าใครเคยขับรถไปเจอหมาชนิดเช่นนี้เข้า แล้วจะรู้ซึ้ง!
หลวงพ่อวัดมหาธาตุราชบุรีท่านเคยพูดว่า จะไปว่าหมามันก็ไม่ถูก แผ่นดินถิ่นฐานต่างๆ เคยเป็นที่อยู่ของหมามันมาก่อน มนุษย์มาแย่งที่มัน เพราะฉะนั้นมันจะนอนตรงไหนก็ย่อมเป็นสิทธิของมัน
ก็เป็นการมองโลกในแง่ดีอย่างหนึ่ง
ที่สังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลานี้ผู้คนที่ใช้ขาพาตัวเคลื่อนที่ไปตามถนนมีน้อยลง-พูดตรงๆ ก็คือคนเดินมีน้อยกว่าคนใช้รถ
คนเดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหน ไม่เดินกันแล้ว ขึ้นรถหมด
เมื่อไปรถ ก็จึงไม่มี-และไม่รู้-ปัญหาเรื่องหมาเห่า
สักวัน ผมอาจจะโดนว่า-ไม่อยากให้หมาเห่าก็อย่าเดิน
ก็เลยชักจะรู้สึกว่าโลกนี้กำลังจะไม่เหมาะสำหรับคนเดินถนน
ในอนาคต คนอาจจะเดินไม่เป็น
ที่ผมเห็นว่าตลกมากก็คือ แม้แต่ไปเดินหรือวิ่งออกกำลังที่สนามกีฬาก็นั่งรถไป
เดินเสร็จวิ่งเสร็จก็นั่งรถกลับ
ตามความคิดของผม แบบนั้น เดินออกจากบ้านไปสนามกีฬา หรือไปไหนก็ได้ให้ได้ระยะทางเท่ากับที่ไปเดินหรือวิ่งที่สนามกีฬา แล้วเดินกลับบ้าน จะไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องใช้รถให้เปลืองน้ำมัน แล้วก็ไม่ต้องไปเพิ่มความแออัดบนท้องถนนด้วย
แต่ความคิดนี้เข้าใจว่าคนสมัยนี้คงไม่เห็นด้วย มีเหตุผลเยอะแยะที่จะโต้แย้ง
เช่น ถนนเดี๋ยวนี้เดินไม่ปลอดภัย
อากาศไม่ดี
สนามกีฬาเขามีไว้สำหรับให้ไปออกกำลัง
มีความเหมาะสมทุกประการที่จะไปที่นั่น
ใครๆ เขาก็ไปที่นั่นกันทั้งนั้น
คนสมัยก่อนที่อยู่กับธรรมชาติ ทำงานไปด้วย ได้ออกกำลังไปด้วยในตัว ไม่ต้องแบ่งเวลาไปออกกำลังที่ไหนอีก
แต่ลักษณะการทำงานของคนสมัยนี้เปลี่ยนไป แม้แต่งานที่เคยใช้แรง ก็มีเครื่องทุ่นแรงเข้ามาช่วย ผู้คนก็จึงไม่ได้ออกแรงออกกำลังในชีวิตประจำวัน
การออกกำลังจึงกลายเป็นกิจกรรมที่ต้องจัดขึ้นเป็นพิเศษ
เมื่อก่อน ๑๖ ชั่วโมงใน ๑ วัน (ที่ตัดเวลานอน ๘ ชั่วโมงออกไปแล้ว) กิจวัตรประจำวันของผู้คนมีการออกกำลังแทรกอยู่ในตัวตามธรรมชาติ
เดี๋ยวนี้ ๑๖ ชั่วโมงใน ๑ วัน ต้องแบ่งไปเป็นกิจกรรมออกกำลังเป็นต่างหากจากกิจวัตรปกติ
ลองนึกดู สมัยก่อน เด็กเดินไปโรงเรียน คนเดินไปทำงาน มีให้เห็นทั่วไป – นั่นคือการออกกำลังตามธรรมชาติของมนุษย์ อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ไม่ต้องแยกออกไปทำเป็นต่างหาก
เดี๋ยวนี้ เด็กเดินไปโรงเรียน คนเดินไปทำงาน ไม่มีแล้ว มีเหตุผลและความจำเป็นเยอะแยะไปหมดที่จะต้องนั่งรถไป
———————-
การไม่ได้ออกกำลังในกิจวัตรปกตินั้นเวลานี้ลามเข้าไปถึงในวัดด้วย
การออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตรที่เป็นการออกกำลังไปในตัว
เดี๋ยวนี้พระภิกษุส่วนหนึ่ง-โดยเฉพาะพระเถระและพระที่เป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ-ไม่ได้ออกบิณฑบาตกันแล้ว
มีเหตุผลเยอะแยะไปหมดที่แม้ชาวบ้านเองก็เห็นด้วย โดยเฉพาะวัดเมือง – จะให้พระผู้ใหญ่ไปเดินตามถนนไม่เหมาะ รถราขวักไขว่ไม่ปลอดภัย งานท่านก็มีมาก จะเอาเวลาที่ไหนไปออกบิณฑบาต ญาติโยมศรัทธาถวายภัตตาหารมีบริบูรณ์แล้วจะต้องออกบิณฑบาตทำไม ฯลฯ
ออกบิณฑบาตนั้นท่านว่าต้องเดินไปตามลำดับบ้าน แต่เวลานี้แม้จะออกบิณฑบาตก็จริง แต่เกิดวิธียืนบิณฑบาตอยู่กับที่ แล้วก็เริ่มจะขยายไปเป็นการนั่งบิณฑบาตด้วยแล้ว พบเห็นได้ตามตลาดทั่วไป
เพี้ยนไปหมด
การกวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์ เรียกสั้นๆ ว่า กวาดวัด เป็นกิจวัตรที่ท่านกำหนดไว้และทำกันมาแต่โบราณกาล ได้ออกกำลังด้วย ทำให้วัดสะอาดด้วย เป็นกิจวัตรที่วิเศษมากๆ
เชื่อหรือไม่ว่า เดี๋ยวนี้พระเณร-โดยเฉพาะวัดในเมืองหลวง-กวาดวัดไม่เป็นแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่รู้และไม่รู้สึกกันแล้วว่าการกวาดวัดเป็นหน้าที่ของพระเณร
วัดใหญ่ๆ หลายวัด ใช้วิธีจ้างคนกวาด หรือมีคนงานของวัดทำแทน
เพี้ยนไปหมด
บิณฑบาต-กวาดวัด แค่ ๒ อย่างนี้ก็เหลือเฟือแล้วที่จะทำให้ร่างกายของสมณะได้ออกกำลังอย่างเพียงพอในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ ยังมีการกวาดถูกุฏิ ทำความสะอาดศาลา โบสถ์ วิหาร ขัดถูห้องน้ำ ที่ล้วนเป็นการออกกำลังทั้งสิ้น
แม้แต่การออกกำลังเล็กๆ-ซักสบงจีวรด้วยมือของตัวเอง ผมไม่แน่ใจว่าสมัยที่เครื่องซักผ้าราคาไม่แพงเช่นนี้ พระเณรทำกันหรือเปล่า
แม้ในกระบวนปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาก็สามารถออกกำลังได้ ดังที่รู้กันคือ การเดินจงกรม
จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตของพระ ท่านกำหนดวิธีออกกำลังไว้ให้แล้วอย่างเหมาะสมกลมกลืน
ปัญหาอยู่ที่พระเณรสมัยนี้ทำกันหรือเปล่า และตระหนักสำนึกกันหรือเปล่า
วัดแห่งหนึ่งในกรุง มีบริเวณกว้างขวางมาก ต้องจ้างคนกวาดวัด ครั้งหนึ่ง มีโยมซื้อเครื่องฟิตเนสไปถวายพระเถระผู้ใหญ่ในวัดนั้นด้วยความปรารถนาดีว่าหลวงพ่อท่านจะได้เอาไว้ออกกำลังกายต้านโรค
พระเถระวัดบ้านนอกรูปหนึ่งท่านเล่าให้ผมฟัง แล้วเปรยขึ้นว่า ชอบกลดี หลวงพ่อมีเวลาเล่นฟิตเนส แต่ไม่มีเวลากวาดวัด!!
———————-
เช้าๆ ผมเดินผ่านโรงเรียนหลายแห่ง และทุกแห่งได้เห็นเด็ก ทั้งเด็กโตและเด็กเล็กเป็นจำนวนมากกินอาหารเช้าจากร้านที่ขายอยู่ข้างโรงเรียน
เห็นได้ชัดว่าแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวสมัยนี้ไม่ได้หุงข้าวทำกับข้าวกินเองกันแล้ว
เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัย-เอาโรงแรมเป็นบ้าน เอาร้านอาหารเป็นครัว
งานบ้านทุกเรื่องมีผู้รับบริการทำให้ เจ้าของบ้านไม่ต้องทำเอง
โลกเปลี่ยนไป วิถีชีวิตของชาวโลกก็เปลี่ยนไป เราไม่สามารถห้ามได้
แต่วิถีชีวิตของชาววัดเป็นชีวิตที่มีแบบแผน มีกิจวัตรที่เป็นเนื้อเป็นตัวของพระศาสนาแทรกอยู่ทุกขั้นตอน
ถ้ารักษาวิถีชีวิตของชาววัดที่ถูกต้องไว้ไม่ได้
ก็รักษาพระศาสนาที่ถูกต้องไว้ไม่ได้
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
๑๘:๓๙
————-