บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

อย่าให้ปัญญาน้อยกว่าศรัทธา

อย่าให้ปัญญาน้อยกว่าศรัทธา

—————————–

มีผู้เขียนข้อความที่เป็นคำสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์แล้วเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย และมีผู้ส่งต่อข้อความนั้นแพร่กระจายออกไป 

ข้อความที่เผยแพร่ไปนั้นมีดังนี้ –

……………..

“…พระพุทธเจ้ากล่าวกับพระอานนท์ ช่วงที่เกิดโรคห่า ในขณะที่พระองค์ไปปฐมพยาบาลพระที่ป่วย พระอานนท์ถามพระองค์ว่าไม่กลัวติดเชื้อหรือ พระองค์กล่าวว่า “อานนท์ ถ้าไม่ใช่กรรมที่เราทำมา เราก็จะไม่ได้รับกรรมนั้น แต่ถ้าเราทำมา หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น…”

……………..

มีผู้ชี้แจงไปบ้างแล้วว่า ข้อความที่บอกว่า พระพุทธเจ้าไปปฐมพยาบาลพระที่ป่วยนั้น มีในพระไตรปิฎกจริง แต่คำสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ตามที่เผยแพร่นั้นยังไม่พบว่ามีในพระไตรปิฎก 

—————-

ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมดังนี้

กรณีพระพุทธเจ้าพยาบาลภิกษุไข้ พบในคัมภีร์ ๒ แห่ง คือ

๑ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ ตอนจีวรขันธกะ พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๑๖๖ (คัมภีร์ชั้นพระบาลี) กล่าวถึงพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์พยาบาลภิกษุรูปหนึ่งซึ่งอาพาธด้วยโรคท้องร่วง (กุจฺฉิวิการาพาธ) มีพระพุทธดำรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พวกเธอไม่มีบิดามารดา (คือออกบวชแล้ว ไม่มีครอบครัว) ถ้าไม่ดูแลกันเอง ใครเล่าเขาจะมาดูแล แล้วทรงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุดูแลกันตามสถานะที่เกี่ยวข้อง เช่นอุปัชฌาย์อาจารย์ดูแลศิษย์ ศิษย์ดูแลอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นต้น ไปจนถึง-ถ้าไม่มีตัวบุคคล สงฆ์ต้องดูแล 

เรื่องตอนนี้เป็นที่มาของพุทธภาษิตที่มีผู้นิยมนำไปอ้างอิงเมื่อกล่าวถึงกิจการของโรงพยาบาลสงฆ์ คือข้อความที่ว่า – 

โย  ภิกฺขเว  มํ  อุปฏฺฐเหยฺย, 

โส  คิลานํ  อุปฏฺฐเหยฺย.

ผู้ใดจะพึงปรนนิบัติเรา

ผู้นั้นพึงปรนนิบัติภิกษุไข้เถิด

๒ คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๒ (คัมภีร์ชั้นอรรถกถา) เรื่องพระปูติคัตตติสสเถระ (แปลว่า “พระติสสะตัวเน่า”) พระภิกษุรูปนี้อาพาธด้วยโรคพุพอง มีตุ่มขึ้นตามตัวแตกพรุนทั้งตัว สุดท้ายกระดูกก็แตก พระที่ดูแลทิ้งให้นอนอนาถา 

พระพุทธเจ้าเสด็จไปพยาบาลโดยทรงชำระเนื้อตัวให้เบาสบาย แล้วแสดงธรรมให้ฟัง จบพระธรรมเทศนาพระติสสะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน 

พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงคือคาถาบทนี้ – 

อจิรํ วตยํ กาโย 

ปฐวึ อธิเสสฺสติ 

ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ 

นิรตฺถํว กลิงฺครํ.

อีกไม่นาน ร่างกายนี้ 

จักปราศจากวิญญาณ 

ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผ่นดิน 

เหมือนท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้

(คำแปลสำนวนอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก) 

คาถานี้เรียกกันว่า “คาถาบังสุกุลเป็น”

นอกจาก ๒ แห่งนี้แล้ว น่าจะช่วยกันสืบค้นว่ายังมีเรื่องพระพุทธเจ้าพยาบาลภิกษุไข้ปรากฏในคัมภีร์เล่มไหนอีก

แต่ประเด็นสำคัญ คือในเรื่องที่พระพุทธเจ้าพยาบาลภิกษุไข้นั้น (๑) ไม่ได้เกี่ยวกับโรคห่า และ (๒) พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสกับพระอานนท์ตามถ้อยคำสนทนาที่เผยแพร่นั้นเลย 

—————-

ผมขอเสนอให้พวกเราตั้งหลักกันดังนี้ 

๑ ช่วยกันรับรู้ว่า ข้อความที่เผยแพร่กันนั้นมีทั้งที่มีในพระไตรปิฎก และที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีในพระไตรปิฎก 

นั่นก็คือ เมื่อเห็นข้อความนั้นที่ไหนก็ตาม อย่าเพิ่งปฏิเสธหรือเชื่อตามข้อความนั้นทันที ตั้งสติกันตรงนี้ให้มั่นคงก่อน 

๒ ต่อจากนั้น ช่วยกันศึกษาจากหลักฐานซึ่งก็คือพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา ซึ่งเวลานี้ไม่ยากที่จะเข้าถึง 

อยากแชร์อยากเชื่อมากเพียงไหน

ก็ควรจะมีอุตสาหะที่จะเปิดอ่าน ที่จะค้นคว้าให้มากเพียงนั้น 

โดยเฉพาะท่านที่ (๑) พอมีความสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ (เปิดเป็นหาเป็น) และ (๒) พอที่จะอ่านจะสืบค้นได้ (อ่านพระไตรปิฎกได้ หากไม่ใช่ภาษาบาลี อย่างน้อยก็ที่เป็นภาษาไทย) 

ท่านเช่นว่านี้ควรเป็นกลุ่มนำที่จะช่วยกันทำหน้าที่ศึกษาสืบค้น และควรถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องทำ 

ขอให้เลิกกันที-ความคิดที่ว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า” เพราะคิดอย่างนี้แหละพระศาสนาของเราจึงได้เรียวลงๆ อยู่ทุกวันนี้

๓ พึงทราบหลักการว่า คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า “พระพุทธพจน์” นั้นต้องมี “ที่มา” เสมอ 

แหล่งรวมหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า “พระธรรมวินัย” คือพระไตรปิฎกและอรรถกถาฎีกาเป็นต้น กล่าวคือคัมภีร์ในชั้นต่างๆ ที่ลดหลั่นกันลงไป 

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่อ้างพระพุทธพจน์หรือคำตรัสของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ให้ช่วยกันทวงถาม “ที่มา” ของถ้อยคำนั้นๆ ด้วยเสมอ นั่นคือผู้นำมาอ้างต้องสามารถบอกได้ว่าความข้อนั้นเรื่องนั้นมีอยู่ในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาฎีกาเล่มไหน 

—————-

บางท่านอาจจะบอกว่า บอกที่มาหรือไม่บอกจะแปลกอะไร จะมีใครสักกี่คนที่อยากรู้ที่ไปที่มาอะไรนั่น บอกไว้ก็ไม่มีใครสนใจจำหรอก เขาสนใจเฉพาะเรื่องที่เอามาบอกนั่นต่างหาก

เรื่องนี้ต้องตั้งหลักให้ถูก มิเช่นนั้นเราจะพลาดไปใหญ่ 

คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องมีที่ไปที่มา ใครจะพูดเอาเองแล้วอ้างว่าเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัส หาได้ไม่ 

การอ้างที่มาหรือบอกที่มาไว้ เป็นการรักษาความถูกต้องแม่นยำของหลักคำสอน นั่นคือต้องสามารถชี้ไปที่แหล่งเดิม (Primary sources) ได้เสมอ

ผู้เผยแผ่หลักคำสอนในศาสนาอื่นก็ยึดตามหลักการนี้ ในศาสนาคริสต์เมื่ออ้างคัมภีร์ไบเบิล ก็จะบอกด้วยเสมอ เช่น เยเนซิศบทที่เท่าไร แมทธิวบทที่เท่าไร ในศาสนาอิสลามเมื่ออ้างคัมภีร์อัลกุรอาน ก็จะบอกไว้ด้วยว่าซูเราะห์ไหนบทไหน

การอ้างที่มา ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีใครอยากรู้หรือไม่ แต่เกี่ยวกับการยืนยันหลักคำสอนไม่ให้เกิดความสับสนพร่ามัว

……………..

อย่างที่เล่ากันขำๆ ว่า ตำรายาไทยขนานหนึ่งจากสมุดข่อยบอกว่า ยาขนานนั้นเวลากินให้ปั้นเป็นเม็ด (คำเก่าเรียกว่า “ลูกกลอน”) ขนาดเท่าเม็ดนุ่น 

ยาขนานนี้มีคนคัดลอกกันไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าต้นฉบับเดิมอยู่ที่ไหน 

ปัญหาก็คือ ฉบับที่คัดลอกกันต่อมาบอกว่า เวลากินให้ปั้นเป็นเม็ด “ขนาดเท่าเม็ดขนุน” 

ยาขนานเดียวกัน บางฉบับบอกว่าเวลากินให้ปั้นเป็นเม็ด “ขนาดเท่าเม็ดนุ่น” 

บางฉบับบอกว่าเวลากินให้ปั้นเป็นเม็ด “ขนาดเท่าเม็ดขนุน” 

ต้องการรู้ว่า “ขนาดเท่าเม็ดนุ่น” หรือ “ขนาดเท่าเม็ดขนุน” กันแน่ จะทำอย่างไร?

……………..

ถ้าเราศึกษาพระพุทธศาสนาโดยวิธี-ผู้เอาถ้อยคำมาบอกก็ไม่บอกที่มา ผู้รับฟังก็ไม่สนใจที่มา ถ้าต้องการรู้ว่าเรื่องนั้นๆ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้จริงหรือ หรือตรัสไว้เช่นนั้นจริงหรือ จะทำอย่างไร? 

และถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ความสับสนพร่ามัวจะเกิดขึ้นในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสักเพียงไร

อนึ่ง ขอได้โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า การอ้างที่มาหรือการเรียกร้องขอให้บอกที่มา ไม่ใช่การยึดติดคัมภีร์ อย่างที่มักกระแหนะกระแหนกันว่า-นี่ถ้าไม่มีคัมภีร์คงคิดอะไรเองไม่เป็น 

คัมภีร์-ที่มา เป็นเรื่องของหลักฐานและการรักษาหลักฐาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

แต่เมื่อมีหลักฐานเห็นหลักฐานแล้ว ต่อจากนั้นใครจะเชื่อหรือใครจะไม่เชื่อเรื่องที่คัมภีร์กล่าวไว้ หรือแม้แต่จะไม่เชื่อตัวคัมภีร์นั่นทั้งคัมภีร์เลย นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพโดยสมบูรณ์

จะเห็นตามก็เชิญ

จะเห็นต่างก็เชิญ 

พระพุทธศาสนาเตือนแต่เพียงว่า-ขอให้เห็นตรง

ยถาภูตํ ปชานาติ = เห็นตรงตามความเป็นจริง 

แล้วจะเอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าอย่างไรคือเห็นตรง?

นั่นขึ้นอยู่กับการศึกษา เรียนรู้ สำเหนียก สำนึก ฝึกฝน ขัดเกลา อบรมตนเอง

—————-

ในขั้นนี้ ทำได้เพียงแค่ขอร้องว่า 

สำหรับผู้ส่งสาร เมื่อจะอ้างพระพุทธพจน์หรือคำตรัสของพระพุทธเจ้า โปรดศึกษาให้ชัดเจนว่าเป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าแน่หรือ และขอให้แสดงหลักฐานที่มาไว้ด้วยเสมอ 

สำหรับผู้รับสาร ขอร้องว่า รับอะไรมาอย่าเพิ่งเชื่อหรือแชร์ทันที ฝึกสร้างนิสัย “ถามหาที่มา” กันไว้บ้าง 

เป็นการยากที่จะห้ามไม่ให้ใครยกเอาความปลอมความเท็จออกมาเสนอสังคม

แต่ไม่เป็นการยากเลยที่จะฝึกตั้งสติกันไว้ก่อน และตั้งสติไว้เสมอๆ

และถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนา ก็ขอร้องให้ศึกษาเรียนรู้ให้จงดี

มีศรัทธา นั่นประเสริฐแล้ว 

เพียงแต่ขอให้เพิ่มปัญญาคือการใช้เหตุผลประสมเข้าไปด้วย จะประเสริฐที่สุด 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๘ มีนาคม ๒๕๖๓

๑๖:๓๖

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *