ปาตราส-สายมาส (บาลีวันละคำ 3,462)
ปาตราส–สายมาส
มื้อเช้า-มื้อเย็น
อ่านว่า ปา-ตะ-ราด สา-ยะ-มาด
เป็นคำบาลี 2 คำ คือ “ปาตราส” และ “สายมาส”
(๑) “ปาตราส”
บาลีอ่านว่า ปา-ตะ-รา-สะ รากศัพท์มาจาก ปาต (เวลาเช้า) + อสฺ (ธาตุ = กิน) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ลง ร อาคม, ยืดเสียง อะ ที่ อ-(สฺ) เป็น อา (ภาษาสูตรไวยากรณ์ว่า “ทีฆะสระหลัง”)
: ปาต + ร + อสฺ = ปาตรส > ปาตราส (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “อาหารที่พึงกินในเวลาเช้า” หมายถึง อาหารเช้า, อาหารมื้อเช้า (morning food, breakfast)
(๒) “สายมาส”
บาลีอ่านว่า สา-ยะ-มา-สะ รากศัพท์มาจาก สายํ (เวลาเย็น) + อสฺ (ธาตุ = กิน) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลงนิคหิตเป็น ม, ยืดเสียง อะ ที่ อ-(สฺ) เป็น อา
: สายํ > สายม + อสฺ = สายมส > สายมาส (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “อาหารที่พึงกินในเวลาเย็น” หมายถึง อาหารเย็น, อาหารค่ำ (dinner, supper)
ขยายความ :
การรับประทานอาหารของคนไทยหรือคนทั่วไปมี 3 มื้อ คือ เช้า กลางวัน เย็น
แต่ชาวชมพูทวีปแบ่งการรับประทานเป็น 2 ช่วง คือ
(1) “ปาตราส” มื้อเช้า กำหนดตั้งแต่อรุณขึ้นจนถึงเที่ยงวัน
(2) “สายมาส” มื้อเย็น กำหนดตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงรุ่งอรุณวันใหม่
บรรพชิตในพระพุทธศาสนาถือการฉันอาหารเพียงมื้อเดียว คือมื้อ “ปาตราส” ไม่ฉันในมื้อ “สายมาส” จึงมีคำเรียกว่า “เอกภัตติกะ” (เอ-กะ-พัด-ติ-กะ) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีอาหารมื้อเดียว”
แต่ “ปาตราส” นั้น ตั้งแต่อรุณขึ้นจนถึงเที่ยงวันจะฉันกี่ครั้งก็ได้ ดังที่พระภิกษุสามเณรทั่วไปในเมืองไทยฉันเช้าแล้วฉันเพล คือฉัน 2 ครั้ง อย่างนี้ก็ยังคงเรียกว่า “เอกภัตติกะ” = ผู้มีอาหารมื้อเดียว อยู่นั่นเอง
ฉันสองมื้อหรือฉันมื้อเดียวตามความเข้าใจของคนไทยทั่วไปจึงนับว่ายังคลาดเคลื่อนกับความหมายของ “ฉันมื้อเดียว” ตามวัฒนธรรมของบรรพชิตในพระพุทธศาสนาซึ่งถือตามวัฒนธรรมมื้ออาหารของชาวชมพูทวีป
…………..
เมื่อใช้ในภาษาไทย ทั้ง 2 คำนี้คงสะกดตรงตามรูปบาลี แต่อ่านแบบไทย คือ คำว่า “ปาตราส” อ่านว่า ปา-ตะ-ราด คำว่า “สายมาส” อ่านว่า สา-ยะ-มาด นี่เป็นการอ่านที่ผู้เขียนบาลีวันละคำเสนอขึ้นมาเอง
คำว่า “ปาตราส” และ “สายมาส” ยังไม่มีเก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 และน่าจะยังไม่มีใครใช้ในภาษาไทย
จึงขอถือโอกาสนี้พูดประโยคยอดนิยมของนักจัดรายการเพลงทางสถานีวิทยุในสมัยเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาว่า “ฝากไว้ในอ้อมใจของมิตรรักแฟนเพลง” อีกคำหนึ่ง
ผู้เขียนบาลีวันละคำเคยเสนอคำใหม่ๆ ที่มาจากภาษาบาลีเข้าสู่ภาษาไทยมาบ้างแล้ว อาจมีผู้สงสัยว่า จะทำไปทำไม จะมีประโยชน์อะไร-ในท่ามกลางกระแสความรู้สึกของผู้คนหลายๆ กลุ่มที่มีอาการไม่มีความสุขเมื่อได้ฟังหรือได้อ่านภาษาบาลี เช่นบ่นว่าฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่ออก และผู้คนอีกส่วนหนึ่งซึ่งนับวันจะมีมากขึ้นที่ไม่รู้สึกภาคภูมิใจในภาษาไทยของเราเอง
ภาษาบาลีก็ไม่เอา
ภาษาไทยของเราก็ไม่รัก
การเสนอคำแปลกๆ ที่มาจากภาษาบาลีเพื่อให้คนใช้พูดกันในภาษาไทย จะมีใครเขาใช้ ทำเช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร
ผู้เขียนบาลีวันละคำไม่ได้หวังว่า เสนอไปแล้วจะต้องมีคนยอมรับและเอาไปใช้พูดกัน แต่หวังเพียงได้ทำหน้าที่ของนักเรียนบาลี คือเรียนมาแล้วเห็นว่าอะไรดีก็นำมาเสนอไว้ให้เพื่อนร่วมชาติได้รับรู้ หมดหน้าที่เพียงแค่นี้
หากจะมีผู้นำไปพูดไปใช้ นั่นคือกำไรของภาษา ไม่มีใครรับก็ไม่ได้ขาดทุนหรือเสียอะไร เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากใช้สติปัญญาความคิด ซึ่งก็เท่ากับเป็นการฝึกฝนตนเอง มีแต่ได้ประโยชน์
อีกประการหนึ่ง ผู้เขียนบาลีวันละคำเชื่อว่า ผู้ที่มีใจรักทางภาษาและรักภาษาของชาติตนคงไม่ได้มีแต่เราคนเดียว ต้องมีคนอื่นอีก หากคนที่มีใจเดียวกันได้มารู้มาเห็นว่ามีคนพยายามทำเช่นนี้ ก็คงจะมีกำลังใจ เหมือนได้เพื่อน ไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยวเดียวดาย และอาจเป็นแรงบันดาลใจหรือผลักดันให้คิดอ่านต่อยอดให้งานเช่นนี้งอกงามต่อไปอีกก็เป็นได้
สรุปว่า การทำงานเช่นนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าแม้แต่ภาษาของตัวเองก็ยังไม่ภูมิใจ
: แล้วจะหวังให้ใครเขามานับถือเรา
#บาลีวันละคำ (3,462)
4-12-64
…………………………….