ทิด (บาลีวันละคำ 3,465)
ทิด
คำสั้นนิด แต่ต้องคิดยาวหน่อย
คำนี้เขียนคำอ่านก็เขียนได้เท่าตัว คือ “ทิด” อ่านว่า ทิด
เห็นคำว่า “ทิด” ก็ต้องรู้ว่าออกเสียงอย่างไร
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกไว้ว่า –
“ทิด : (คำนาม) คำนำหน้าชื่อผู้ที่สึกจากพระ เช่น ทิดบุญ ทิดเกิด.”
ต่อมา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ปรับปรุงคำนิยามใหม่ บอกไว้ว่า –
“ทิด : (คำนาม) คำนำหน้าชื่อผู้ที่สึกจากพระ เช่น ทิดบุญ ทิดเกิด. (กร่อนมาจากคำว่า บัณฑิต).”
นั่นคือ พจนานุกรมฯ ฉบับ 54 เพิ่มคำในวงเล็บว่า “กร่อนมาจากคำว่า บัณฑิต” เป็นการให้ความรู้แก่ผู้อ่านว่า คำว่า “ทิด” มีที่มาอย่างไร
คำว่า “ทิด” ที่เป็นคำนำหน้าชื่อผู้ที่สึกจากพระ กร่อนมาจากคำว่า “บัณฑิต” ได้อย่างไร?
…………..
“บัณฑิต” บาลีเป็น “ปณฺฑิต” อ่านว่า ปัน-ดิ-ตะ มีรากศัพท์มาได้หลายทาง เช่น :
(1) ปณฺฑา ( = ปัญญา) + อิต ( = ไป, ดำเนินไป, เกิดขึ้นพร้อม) ลบสระที่ ปณฺฑา (ปณฺฑา > ปณฺฑ)
: ปณฺฑา > ปณฺฑ + อิต = ปณฺฑิต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา” “ผู้มีปัญญาเกิดพร้อมแล้ว”
(2) ปฑิ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ต ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ต้นธาตุ (ปฑิ > ปํฑิ) แล้วแปลงเป็น ณ (ปํฑิ > ปณฺฑิ)
: ปฑิ > ปํฑิ > ปณฺฑิ + ต = ปณฺฑิต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ดำเนินไปสู่ความเป็นผู้ฉลาด”
(3) ปณฺฑฺ (ธาตุ = รู้) + ต ปัจจัย, ลง อิ อาคมระหว่างธาตุกับปัจจัย (ปณฺฑฺ + อิ + ต)
: ปณฺฑฺ + อิ = ปณฺฑิ + ต = ปณฺฑิต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์”
ความหมายของ “ปณฺฑิต” ในบาลีคือ สุขุม, ไตร่ตรอง, รอบรู้, ฉลาด, รู้ทัน, จัดเจน, หลักแหลม, รอบคอบ, ระมัดระวัง, ถี่ถ้วน, ชำนิชำนาญ, ช่ำชอง, ว่องไว, คล่องแคล่ว, มีความสามารถ, มีไหวพริบ, รู้จักคิด, รู้จักเหตุผล = รู้จักผิดชอบชั่วดีควรไม่ควร
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ปณฺฑิต” เป็นอังกฤษว่า wise, clever, skilled, circumspect, intelligent.
“ปณฺฑิต” ในภาษาไทยใช้ว่า “บัณฑิต” (บัน-ดิด)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“บัณฑิต : ผู้ทรงความรู้, ผู้มีปัญญา, นักปราชญ์, ผู้สําเร็จการศึกษาขั้นปริญญาซึ่งมี ๓ ขั้น คือ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เรียกว่า บัณฑิต มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต, ผู้มีความสามารถเป็นพิเศษโดยกําเนิด เช่น คนนี้เป็นบัณฑิตในทางเล่นดนตรี. (ป., ส. ปณฺฑิต).”
ขยายความ :
ความหมายเดิมแท้ของ “บัณฑิต” ก็คือ ผู้มีสติปัญญา รู้จักผิดชอบชั่วดี เว้นชั่ว ประพฤติดีได้ด้วยตนเองและสามารถแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้ทำเช่นนั้นได้ด้วย
สังคมไทยถือว่า “วัด” เป็นสถาบันที่สั่งสอนอบรมคนให้รู้จักดำเนินชีวิตด้วยปัญญารู้จักผิดชอบชั่วดี ผู้ที่เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในวัดเมื่อลาสิกขาออกมา สังคมจึงนับถือว่าเป็น “บัณฑิต”
ปัจจุบัน ความหมายของ “บัณฑิต” ในภาษาไทยมักหมายถึงผู้สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเท่านั้น จะมีความรู้จักผิดชอบชั่วดีหรือไม่แทบจะไม่คำนึงถึง นับว่าเป็นการทำให้ความหมายของคำบาลีทรามลงอย่างน่าเสียดาย
คำว่า “บัณฑิต” นี้ แต่เดิมเราคงอ่านว่า บัน-ทิด (ฑ มณโฑ ออกเสียงเหมือน ท ทหาร) ผู้เขียนบาลีวันละคำเอง เมื่อเริ่มอ่านหนังสือได้ก็อ่านคำว่า “บัณฑิต” ว่า บัน-ทิด
ต่อมาเสียง “บัน” กร่อนหายไป ทำนองเดียวกับคำไทยอีกหลายคำที่กร่อนแบบนี้ บัน-ทิด จึงเหลือแต่ “ทิด” พยางค์เดียว นี่คือคำตอบว่า “บัณฑิต” กร่อนกลายเป็น “ทิด” ได้อย่างไร
คำว่า “ทิด” จึงเป็นคํานําหน้าชื่อผู้ที่สึกจากพระมาจนทุกวันนี้ คนเก่าเรียกผู้สึกจากพระว่า “ทิด” กันทั่วไปอย่างสนิทปาก ผู้เขียนบาลีวันละคำเมื่อลาสิกขา ญาติมิตรส่วนมากไม่ได้เรียก “ทิด” แต่เรียกว่า “มหา” (มหาย้อย) แต่พี่สาวยังเรียกแบบคนเก่า คือเรียก “ทิดย้อย” บางครั้งก็เรียกเต็มยศว่า “ไอ้ทิดย้อย” ไม่เคยเรียก “มหา” เลย
อาจเป็นเพราะคนรุ่นน้องเรียกผู้สึกจากพระโดยเพิ่มคำว่า “พี่” เข้าข้างหน้าเป็น “พี่ทิด” และเรียกเช่นนี้กันมาก ประกอบกับความรู้สึกที่ว่าคนที่บวชเรียนแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่ จึงมักเรียกว่า “พี่ทิด” กันอย่างสนิทใจ คำว่า “พี่ทิด” จึงเป็นคำที่นิยมเรียกกันทั่วไปด้วย
การเรียกคนที่สึกจากพระว่า “ทิด” เป็นวัฒนธรรมทางภาษา-วัฒนธรรมของชาติอีกอย่างหนึ่ง
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เปลี่ยนคำ ง่ายเหลือล้น
: เปลี่ยนคน ยากเหลือล้ำ
#บาลีวันละคำ (3,465)
7-12-64
…………………………….