ช่วยกันรักษาพระศาสนา
ช่วยกันรักษาพระศาสนา
————————–
ด้วยการ-ช่วยกันหาคำตอบ
มีคนถามขอความรู้ครับ
อนันตริยกรรม ๕ อย่าง คือ –
๑ มาตุฆาต = ฆ่ามารดา
๒ ปิตุฆาต = ฆ่าบิดา
๓ อรหันตฆาต = ฆ่าพระอรหันต์
๔ โลหิตุปบาท = ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อขึ้นไป
๕ สังฆเภท = ยังสงฆ์ให้แตกกัน, ทำลายสงฆ์
เขาถามว่า ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ถ้าผู้ฆ่าไม่รู้ว่าคนที่ตนฆ่าเป็นมารดา เป็นบิดา เป็นพระอรหันต์ จะเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่
ถ้าเป็น ด้วยเหตุผลอย่างไร
ถ้าไม่เป็น ด้วยเหตุผลอย่างไร
ตอบตามหลักฐานที่ท่านแสดงไว้นะครับ
ไม่เอาคำตอบประเภท-ผมเข้าใจว่า… ฉันว่ามันน่าจะ…
—————–
ญาติมิตรย่อมจะสังเกตเห็นได้ว่า ผมเพียรพยายามขอร้อง ชักชวน กระตุ้น กระทุ้ง กระแทก กระทบ ให้ท่านที่มีความรู้ในทางธรรม โดยเฉพาะท่านที่เรียนบาลี เป็นมหาเปรียญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง-พระภิกษุสามเณร ช่วยกันศึกษาพระธรรมวินัย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง (อีกที) พระภิกษุสามเณรที่มีเฟซบุ๊ก มีใจชอบในการเขียนแสดงความเห็นต่างๆ โพสต์เรื่องและรูปทางเฟซบุ๊ก ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ขอให้ช่วยกันศึกษาพระธรรมวินัยแล้วนำมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กด้วย
การที่ผมเอาปัญหามาถามทางเฟซบุ๊กนี่ก็เป็นวิธีกระตุ้นทางหนึ่ง
เท่าที่ทำมา กระแสตอบรับมีค่าเป็น-ศูนย์
ใครจะถาม ใครจะกระตุ้น ก็ถามไป กระตุ้นไป ข้าพเจ้าไม่สนใจ
มีบางท่านบอกด้วยว่า-ไม่ใช่หน้าที่
มีหลายท่านแก้แทนให้ว่า เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับอัธยาศัยของแต่ละบุคคล จะไปกะเกณฑ์กันไม่ได้
ฟังดูก็มีเหตุผลดี
แต่ถ้าตรึกตรองดูให้ดีๆ จะเห็นว่า-ไม่มีเหตุผล
กล่าวเฉพาะพระภิกษุสามเณร การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาย่อมเป็นการยอมรับกติกาอยู่ในตัวว่า จะทำงาน ๒ อย่าง อันเป็น “ธุระ” ในพระศาสนา คือ ๑ เรียนพระธรรมคัมภีร์ และ ๒ ปฏิบัติพระกรรมฐาน
เรียนพระธรรมคัมภีร์ คือศึกษาพระธรรมวินัยให้รู้เข้าใจว่าอะไรห้ามทำอะไรต้องทำ แล้วบอกกล่าวสั่งสอนเผยแผ่ต่อไป
คำถามที่ผมยกมาตั้งไว้ข้างต้น ตอบได้ด้วยวิธีศึกษาพระธรรมวินัย ค้นคว้าศึกษาไปก็จะเจอคำตอบ
คำถาม-ข้อสงสัยอื่นๆ อีกทุกเรื่องก็ใช้วิธีเดียวกัน
ปฏิบัติพระกรรมฐาน คือฝึกอบรมจิตใจ ปฏิบัติขัดเกลาตนเอง
งานหรือ “ธุระ” ๒ อย่างนี้คืองานโดยตรงของพระภิกษุสามเณร คือเป็นงานที่ต้องทำ-ถ้าสมัครเข้ามาอยู่ในเพศบรรพชิต
ไม่ใช่งานที่-จะทำหรือไม่ทำแล้วแต่อัธยาศัย
ถ้าไม่เรียนพระธรรมคัมภีร์ ก็ต้องมุ่งปฏิบัติพระกรรมฐาน
ถ้าไม่ปฏิบัติพระกรรมฐาน ก็ต้องเรียนพระธรรมคัมภีร์
พระธรรมคัมภีร์ก็ไม่เรียน พระกรรมฐานก็ไม่ปฏิบัติ
ก็แปลว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของผู้ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา
ผมเข้าใจว่า เวลานี้เป็นอย่างนี้กันมากแล้ว คือพระธรรมคัมภีร์ก็ไม่เรียน พระกรรมฐานก็ไม่ปฏิบัติ แต่หมดเวลาไปกับการทำกิจอย่างอื่น
แล้วก็พยายามอธิบายว่า-กิจอย่างอื่นนั่นก็เป็นกิจพระศาสนาเหมือนกัน
ต่อไป เมื่อพระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจเรียนพระธรรมคัมภีร์ค่อยๆ หมดไป พระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐานค่อยๆ หมดไป ก็จะเหลือแต่พระภิกษุสามเณรที่ใช้เวลาไปกับการทำกิจอย่างอื่น
ผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนาในยุคสมัยเช่นนั้น เข้ามาก็จะเห็นแต่พระภิกษุสามเณรที่ใช้เวลาไปกับการทำกิจอย่างอื่นทั้งนั้น ไม่เคยเห็นพระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจเรียนพระธรรมคัมภีร์และตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐาน ก็จะพากันเข้าใจว่าการทำเช่นนั้นเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว เพราะเข้ามา (หรือเกิดมา) ก็เห็นทำกันอย่างนั้นอยู่แล้ว ที่ไหนๆ ก็ทำเหมือนกันหมด กลายเป็นเรื่องปกติ
พระภิกษุสามเณรรูปไหนเรียนพระธรรมคัมภีร์หรือตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐาน จะกลายเป็นผิดปกติ หรือเห็นเป็นเรื่องพิเศษเฉพาะตัวบุคคล แต่ส่วนใหญ่จะพากันเห็นว่า “ไม่ใช่หน้าที่”
ที่พูดมานี้ผมเชื่อว่าจะต้องไปกระทบใจพระคุณเจ้าพระภิกษุสามเณร ถ้าท่านผู้ใดเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ก็กราบขออภัยไว้ด้วย
อุปมาเหมือน-เพื่อนเห็นเพื่อนกำลังจะเดินไปตกเหว ก็ร้องตะโกนบอกกันตรงๆ เพื่อนอาจจะตกใจหรือขัดใจที่มารบกวนความสงบในการเดิน
แต่ถ้าเพื่อนรู้ตัว ไม่ตกเหว ยอมให้เพื่อนโกรธ ก็คุ้มครับ
—————–
อีกประการหนึ่ง การกระตุ้นเตือนชักชวนให้ศึกษาพระธรรมวินัยย่อมเป็นการรักษาพระศาสนาได้วิธีหนึ่ง
เวลานี้เราต่างก็เป็นห่วงพระศาสนากันมาก มองเห็นภัยทั้งจากภายในพระศาสนาเอง ทั้งจากภายนอกพระศาสนา
แต่ถ้าลองตามไปดูว่า-แล้วเราเตรียมตัวป้องกันหรือแก้ไขกันอย่างบ้างหรือเปล่า ก็จะเห็นได้ว่า-แทบจะไม่มี
เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรกันเลย
เหมือนคนตะโกนว่า ไฟไหม้ ไฟไหม้ แต่ทุกคนก็ได้แต่ฟัง แล้วก็ตะโกนบอกกันต่อๆ ไป แต่ไม่มีใครทำอะไรที่จะเป็นการช่วยกันระงับดับไฟ
การศึกษา คือเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเป็นการดับไฟและป้องกันไฟไปในตัว
เพราะเมื่อยังมีการเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่เพียงไร พระศาสนาก็ชื่อว่ายังมีอยู่เพียงนั้น
ชาวพุทธยังมีความรู้ในหลักพระธรรมคำสอน ยังชวนกันปฏิบัติธรรม นั่นแหละคือการช่วยกันรักษาพระศาสนา
มีวัด มีพระเจดีย์ มีโบสถ์วิหาร มีพระพุทธปฏิมา มีบุคคลผู้ครองผ้ากาสาวะ คับคั่งไปทั้งแผ่นดิน แต่ไม่มีการศึกษา คือเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง จะชื่อว่ามีพระศาสนาอย่างไรกันเล่า สิ่งเหล่านั้นก็มีค่าเพียงแค่งานนิทรรศการที่เขาจัดขึ้นเอาไว้ให้เดินดูกันเพลินๆ เท่านั้นเอง
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ของที่จัดแสดงไว้ให้ดู
แต่เป็นของที่ต้องเอาไปใช้ในชีวิตจริง
การศึกษา คือเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง จึงเป็นการช่วยกันรักษาพระศาสนาอย่างแท้จริง
ในทางตรงข้าม การไม่ศึกษา คือไม่เรียนรู้และไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง จึงเป็นการไม่รักษาพระศาสนานั่นเอง
สำหรับพระภิกษุสามเณร ตลอดจนฆราวาสญาติโยม ที่กำลังมุ่งศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง ขอกราบอนุโมทนาสาธุการมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ช่วยค้นคว้าหาคำตอบปัญหาข้างต้นกันด้วยนะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๗ มกราคม ๒๕๖๓
๑๓:๒๖
…………………………….