กิเลสาสวะ (บาลีวันละคำ 4,679)

กิเลสาสวะ
ถ้าตั้งใจเอาชนะก็ทำได้
อ่านว่า กิ-เล-สา-สะ-วะ
แยกศัพท์เป็น กิเลส + อาสวะ
(๑) “กิเลส”
บาลีอ่านว่า กิ-เล-สะ รากศัพท์มาจาก กิลิสฺ (ธาตุ = เดือดร้อน, เศร้าหมอง, เบียดเบียน) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง อิ ที่ –ลิ-เป็น เอ (กิลิสฺ > กิเลส)
: กิลิสฺ + อ = กิลิส > กิเลส แปลตามศัพท์ว่า (1) “ภาวะเป็นเหตุให้เหล่าสัตว์เดือดร้อน” (2) “ภาวะเป็นเหตุให้เศร้าหมอง” (3) “ภาวะเป็นเหตุให้เบียดเบียนกัน”
สูตรหาความหมายของศัพท์ ท่านว่า :
กิลิสฺสนฺติ เอเตน สตฺตาติ กิเลโส
สัตว์ทั้งหลายย่อมเดือดร้อน, ย่อมเศร้าหมอง, ย่อมเบียดเบียนกัน เพราะภาวะนั้น ดังนั้น ภาวะนั้นจึงชื่อว่า “กิเลส” = ภาวะเป็นเหตุให้เหล่าสัตว์เดือดร้อน, ภาวะเป็นเหตุให้เศร้าหมอง, ภาวะเป็นเหตุให้เบียดเบียนกัน
“กิเลส” หมายถึง เครื่องเศร้าหมอง, ความเศร้าหมอง, มลทินใจ
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กิเลส” ว่า stain, soil, impurity, affliction, depravity, lust (เปรอะเปื้อน, เศร้าหมอง, ไม่บริสุทธิ์, ความทุกข์, ความเสื่อมเสีย, ราคะ)
ฝรั่งผู้ทำพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แสดงความเห็นว่า ความหมายของ “กิเลส” ในภาษาบาลีเทียบได้กับที่ภาษาอังกฤษพูดว่า lower or unregenerate nature, sinful desires, vices, passions (ธรรมชาติฝ่ายต่ำ, ความปรารถนาอันเป็นบาป, ความชั่ว, ความทุกข์ทรมาน)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“กิเลส, กิเลส– : (คำนาม) เครื่องทําใจให้เศร้าหมอง ได้แก่ โลภ โกรธ หลง เช่น ยังตัดกิเลสไม่ได้ กิเลสหนา; กิริยามารยาท ในคําว่า กิเลสหยาบ.”
(๒) “อาสวะ”
เขียนแบบบาลีเป็น “อาสว” อ่านว่า อา-สะ-วะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ) + สุ (ธาตุ = ไหลไป) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อุ ที่ สุ เป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว (อะ-วะ) (สุ > โส > สว)
: อา + สุ = อาสุ + ณ = อาสุณ > อาสุ > อาโส > อาสว แปลตามศัพท์ว่า –
(1) “กิเลสที่ไหลออกมาทางตาเป็นต้น” (เพราะตาเห็น หูได้ยินเป็นต้น ก็เกิดกิเลสแล่นไปจับสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน กิเลสจึงไหลออกมาทางตา ทางหูเป็นต้น)
(2) “น้ำเป็นเหตุไหลออกแห่งความมึนเมาของบุรุษ” (น้ำที่เป็นเหตุให้คนที่ดื่มมันเข้าไปแสดงอาการมึนเมาออกมา ความมึนเมาของคนจึงไหลออกมาเพราะน้ำนั้น)
(3) “กิเลสที่ไหลไปจนถึงภวัครพรหม” (หมายความว่า ผู้ที่เกิดตั้งแต่โลกบาดาล ผ่านโลกมนุษย์ ไปสิ้นสุดที่ภวัครพรหม อันเป็นภพสูงสุดก่อนที่จะหลุดพ้น ล้วนแต่ยังมีกิเลสอยู่ทั้งนั้น)
(4) “กิเลสที่ไหลไปยังสังสารทุกข์ตลอดไป” (กิเลสเหมือนกระแสน้ำที่พัดพาผู้ที่ยังมีกิเลสให้ลอยไหลเวียนเกิดเวียนตายไม่มีที่สิ้นสุด)
(5) “กิเลสที่เหมือนของหมักดองมีน้ำเมาเป็นต้นเพราะหมักหมมอยู่นาน” (เปรียบกิเลสเหมือนน้ำหมักดอง เพราะหมักหมมทับถมอยู่ในจิตใจมายาวนานหลายภพชาติ)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อาสว” ตามศัพท์ว่า that which flows [out or on to] outflow & influx (สิ่งที่ไหล [ออกหรือสู่], การไหลไปและการบ่าเข้ามา)
และบอกความหมายของ “อาสว” ไว้ดังนี้ –
(1) สุรา, น้ำคั้นที่ทำให้มึนเมา หรือน้ำดองของต้นไม้หรือดอกไม้ (spirit, the intoxicating extract or secretion of a tree or flower)
(2) น้ำหนองจากแผลฝี (discharge from a sore)
(3) ในจิตวิทยาเป็นศัพท์เฉพาะสำหรับความคิดที่ระบุไว้ ซึ่งทำจิตใจให้มึนเมา [ทำให้งงงวย, หรือผิดพลาด จนไม่สามารถขึ้นสู่แนวสูงได้] (in psychology, t.t. for certain specified ideas which intoxicate the mind [bemuddle it, befoozle it, so that it cannot rise to higher things]).
“อาสว” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อาสวะ”
คำว่า “อาสวะ” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
กิเลส + อาสว = กิเลสาสว แปลทับศัพท์ว่า “กิเลสและอาสวะ” นักธรรมนิยมพูดทับศัพท์เป็นคำไทยว่า “กิเลสาสวะ”
ขยายความ :
ในภาษาไทย มีคำพูดเป็นสำนวนเก่าที่นิยมกล่าวอ้างกันสืบ ๆ มาแบบติดปากว่า “กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด”
“กิเลสพันห้า” นับอย่างไร ขอเก็บความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต มาแสดงดังนี้ –
(๑) ตัวกิเลสแท้ ๆ ที่มีชื่อเรียกว่า “กิเลสวัตถุ” (สิ่งก่อความเศร้าหมอง) มี 10 คือ :
(1) โลภะ – ความอยากได้ (greed)
(2) โทสะ – ความคิดประทุษร้าย (hatred)
(3) โมหะ – ความหลง, ความไม่รู้, ความเขลา (delusion)
(4) มานะ – ความถือตัว (conceit)
(5) ทิฏฐิ – ความเห็นผิด (wrong view)
(6) วิจิกิจฉา – ความลังเลสงสัย, ความเคลือบแคลง (doubt; uncertainty)
(7) ถีนะ – ความหดหู่, ความท้อแท้ถดถอย (sloth)
(8 ) อุทธัจจะ – ความฟุ้งซ่าน (restlessness)
(9) อหิริกะ – ความไม่ละอายต่อความชั่ว (shamelessness)
(10) อโนตตัปปะ – ความไม่เกรงกลัวต่อความชั่ว (lack of moral dread)
(๒) กิเลสทั้ง 10 นี้มีฐานปฏิบัติการ 75 แห่ง คือ :
จิต 1 + เจตสิก 52 + รูปรูป (คือรูปแท้ ไม่ใช่อาการของรูป จำแนกเป็น มหาภูตรูป 4 + ปสาทรูป 5 + วิสัยรูป 4 + ภาวรูป 2 + หทัยรูป 1 + ชีวิตรูป 1 + อาหารรูป 1 = ) 18 + อากาสธาตุ 1 + ลักขณรูป 3 = 75
(๓) ที่ตั้งฐานปฏิบัติการทั้ง 75 แห่งนี้แบ่งเป็น 2 เขต หรือ 2 ส่วน คือ :
ส่วนภายใน (อยู่ในตัวของแต่ละคน) 75
ส่วนภายนอก (อยู่ที่สิ่งนอกตัวของแต่ละคน) 75
รวมทั้งสองส่วน = 150
(๔) กิเลส 10 ตัว (ตามข้อ ๑) แต่ละตัวปฏิบัติการอยู่ในที่ตั้ง 150 แห่ง = 150 x 10 = 1500
นี่คือ “กิเลสพันห้า”
ส่วน “อาสวะ” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ดังนี้ –
…………..
อาสวะ :
1. ความเสียหาย, ความเดือดร้อน, โทษ, ทุกข์
2. น้ำดองอันเป็นเมรัย เช่น ปุปฺผาสโว น้ำดองดอกไม้, ผลาสโว น้ำดองผลไม้
3. กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ,
อาสวะ ๓ คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ ๓. อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา;
อีกหมวดหนึ่ง อาสวะ ๔ คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ ๓. ทิฏฐาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา
…………..
ดูก่อนภราดา!
: กิเลสอย่างเดียวก็แสนยากที่จะเอาชนะ
: ยิ่งผสมกับอาสวะก็ยิ่งยากแสนยากใจขาด
: แต่มนุษย์ธรรมดาก็สามารถเอาชนะเป็นพระอรหันต์
: เราก็มนุษย์ธรรมดาเหมือนกันฤๅมิใช่?
#บาลีวันละคำ (4,679)
4-4-68
…………………………….
…………………………….