งานในหน้าที่ แต่ไม่มีคนทำ
งานในหน้าที่ แต่ไม่มีคนทำ
—————————
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ ผมเขียนคำว่า “อเวจี” เป็นบาลีวันละคำ ค้นหารายละเอียดในคัมภีร์บาลี เจอแล้วก็เลยยกมาเป็นคำอธิบายลักษณะของอเวจีมหานรก คัดคำบาลีลงไปด้วยเพื่อให้ผู้อ่านได้เจริญปัญญา
…………………………….
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/4627697010657333
…………………………….
ค้นไป คัดไป คิดไป
เออ มีนักเรียนบาลีคนไหนทำงานแบบนี้บ้าง
การศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลีนี่เป็นงานโดยตรงของนักเรียนบาลีนะครับ
พระไตรปิฎกรวมทั้งอรรถกถาฎีกาของพระพุทธศาสนาเถรวาทท่านบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี และเป็นแหล่งเดียวในโลกที่ใช้ภาษาบาลี ใครที่ยังไม่เคยทราบโปรดทราบ
ยังไม่เคยคิดโปรดคิด —
เรียนบาลีไปเป็นไกด์นำเที่ยวไม่ได้ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวที่พูดบาลี
เรียนบาลีไปเป็นล่ามประจำสถานทูตก็ไม่ได้ เพราะไม่มีชาติไหนใช้ภาษาบาลี
เรียนบาลีไปเป็นนักแปลข่าวก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข่าวภาษาบาลี
เรียนบาลีเอาไปใช้ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น-นอกจากใช้ศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี
ที่มีหน่วยงานให้ศักดิ์และสิทธิ์รับผู้จบบาลีสอบเข้าทำงานหรือเข้าศึกษาต่อ เหตุผลที่แท้จริงก็เพื่อจะได้ใช้ความรู้บาลีไปศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลีและเอาความรู้นั้นมาประกอบการปฏิบัติงานหรือประกอบการศึกษานั่นเอง
เพราะฉะนั้น เรียนบาลีแล้วจะเอาไปใช้งานอื่น-ที่ไม่ใช่การศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี ก็คือทำงานนอกหน้าที่
และถ้าเรียนบาลีจบแล้วไม่ทำงานศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี นั่นก็คือความสูญเปล่า
การสอบได้ก็ดี ศักดิ์และสิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงอันเกิดจากการสอบได้ก็ดี เป็นเพียงผลพลอยได้
ขอย้ำทัศนะหรือท่าทีของผมไว้ตรงนี้อีกทีนะครับว่า การสอบได้ก็ดี ศักดิ์และสิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงอันเกิดจากการสอบได้ก็ดี ต้องเอานะครับ
ต้องเอาให้ได้ด้วย
และต้องพยายามสนับสนุนส่งเสริมกันให้เอาให้ได้ด้วย
แต่การศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลีคือเป้าหมาย คืองานที่แท้จริงของนักเรียนบาลี นั่นเป็นสิ่งที่ต้องเอาอย่างยิ่ง ไม่ใช่เอาธรรมดา
ต้องเอาให้ได้อย่างยิ่งด้วย
และต้องพยายามสนับสนุนส่งเสริมกันให้เอาให้ได้อย่างยิ่ง-ยิ่งขึ้นไปเป็นร้อยเท่าพันทวีด้วย
……………………………..
อุปมาเหมือนผลไม้หอมหวานอยู่สูงสุดปลายไม้
ตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นไปปลิดลงมาได้แล้ว
ผลไม้นั้น “มีไว้-ได้มาเพื่อกิน” เท่านั้น มิใช่เพื่อการอื่น
เพราะฉะนั้น ได้มาแล้วต้องกินครับ
ไม่ใช่นั่งมองเฉยๆ เอาแต่ชื่นชมตัวเองว่าเรานี่เก่งปีนขึ้นไปเอาลงมาได้
……………………………..
เวลานี้นักเรียนบาลีของเราเหมือนคนนั่งเฝ้าผลไม้เฉยๆ ไม่กิน
ความรู้บาลีก็มีพอ เพราะเรียนมาแล้ว
คัมภีร์บาลีที่รอการศึกษาค้นคว้าก็มีอยู่มากมาย
สังคมที่ต้องการได้ความรู้จากพระศาสนา ก็รออยู่
ขาดอย่างเดียว-ความคิดที่จะศึกษาค้นคว้า ไม่มี
เศร้าเลย
และเมื่อพูดว่า “ศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี” ขอได้โปรดเข้าใจให้ตลอดถึงกระบวนการขั้นตอน ประเดี๋ยวจะเข้าใจผิดคิดเหมือนคนส่วนมากที่มักจะพูดว่า-มันก็แค่ปริยัติ
“ศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี” ความหมายเดียวกับที่พูดว่าศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก กระบวนการขั้นตอนของการศึกษาต้องเป็นดังนี้ –
๑ ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ว่าอะไร-อย่างไรคือพระธรรมวินัยหรือคำสอนที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา
๒ ได้ความรู้ที่ถูกต้องแล้ว เอาความรู้นั้นมาฝึกฝนปฏิบัติขัดเกลาตัวเองให้พัฒนาก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปในพระธรรมวินัย
๓ แล้วนำความรู้และหลักปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นไปเผยแผ่ให้แพร่หลายกว้างขวางออกไปอีก
รวมทั้ง ๓ กระบวนการขั้นตอนนี้ คือความหมายของคำว่า “ศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี”
ผมดีใจ ปลื้มใจ อนุโมทนาสาธุอย่างยิ่งที่ได้เห็นผู้คนมีศรัทธาสนับสนุนส่งเสริมการเรียนบาลีกันอย่างคึกคักเข้มแข็ง อนุโมทนาจริงๆ
แต่พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว้าเหว่วังเวงใจอย่างยิ่ง ที่มองหาแทบไม่เห็นผู้คนที่มีศรัทธาสนับสนุนส่งเสริมนักเรียนบาลีให้ก้าวหน้าต่อไปในการศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี ทั้งๆ ที่-นั่นคืองานในหน้าที่โดยตรงแท้ๆ ของนักเรียนบาลี
……………………
กลับที่คำว่า “อเวจี”
คนไทยได้ยินคำนี้กันมานานนักหนา เหมือนว่าจะรู้จักกันดี แต่ส่วนมากไม่รู้ ที่พอรู้บ้างก็รู้ตามที่เชื่อกัน พูดกันไป
ใครเคยอ่านหนังสือไตรภูมิพระร่วง ก็บอกว่าเรื่องนรกสวรรค์เป็นความคิดของพระร่วง คือพญาลิไท ทั้งๆ ที่ท้ายเรื่องท่านก็อุตส่าห์บอกคัมภีร์ที่มาไว้ทั้งหมดว่าเรื่องในไตรภูมิมาจากไหน
แต่คัมภีร์ที่มา หรือ reference นั่นเอง เราส่วนมากก็เห็นแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นต้นฉบับ อย่าว่าถึงขั้นจะเคยอ่านหรือเปล่า
เห็นต้นฉบับก็อ่านไม่ออก เพราะเป็นภาษาบาลี
นักเรียนบาลีได้เปรียบตรงนี้เอง-ตรงที่รู้บาลี อ่านออก แปลได้
และตรงนี้เองเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่า ที่สังคมเรานิยมให้พระเณรเรียนบาลีก็เพื่อที่จะได้อ่านคัมภีร์ออกและแปลได้นี่เอง
ศักดิ์และสิทธิ์อื่นๆ ที่ตั้งใจไขว่คว้ากันนั้นล้วนเกิดขึ้นทีหลังทั้งสิ้น แต่บดบังเหตุผลต้นเดิมจนแทบไม่มีใครนึกถึง
เรื่อง “อเวจี” นี้เอง นักเรียนบาลีที่ไม่ศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลีก็จะไม่รู้ เพราะคัมภีร์ที่นักเรียนบาลีบ้านเราใช้เป็นแบบเรียนมีเพียง ๕ คัมภีร์ (ธัมมปทัฏฐกถา มังคลัตถทีปนี สมันตปาสาทิกา วิสุทธิมัคค์ อภิธัมมัตถวิภาวินี) แต่คัมภีร์บาลีอีกนับร้อยคัมภีร์ไม่ได้เรียน-โดยเฉพาะตัวคัมภีร์พระไตรปิฎกไม่ได้เรียนเลย
ถามว่า ทำไมนรกขุมนั้นจึงชื่อว่า “อเวจี” นักเรียนบาลีจะตอบไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ที่เป็นตัวแบบเรียน
เพราะความสงสัยใคร่รู้ ผมจึงค้น เมื่อค้นก็เจอ
อยู่ในคัมภีร์อะไร ยังไม่บอก ยั่วน้ำลายนักเรียนบาลีที่มีใจรักในทางศึกษาค้นคว้าคัมภีร์บาลี-เผื่อจะเกิดอุตสาหะลองช่วยกันค้น
ขออนุญาตถอดเอาแต่ใจความล้วนๆ มาเป็นคำตอบดังนี้
……………………………..
“อเวจี” มีความหมายว่า “ไม่มีที่ว่าง”
สิ่งที่ไม่มีที่ว่างในอเวจีมหานรกมี ๓ อย่าง คือ ๑ ไฟ ๒ พื้นที่สำหรับสัตว์นรก ๓ ทุกข์
๑ ในอเวจี มีไฟคือความร้อนทุกอณู ไม่ว่าอะไรจะเล็กขนาดไหนหลบเข้าไปในซอกมุมไหน ไม่มีเลยที่จะไม่โดนไฟไหม้
๒ ในอเวจี สัตว์นรกเบียดเสียดกันอยู่ในทุกพื้นที่ ไม่มีพื้นที่ตรงไหนที่สามารถจะเรียกได้ว่า “ที่ว่าง” เอาอะไรที่บางที่สุดสอดเข้าไปโดยหวังว่าจะไม่ถูกตัวสัตว์นรก เป็นอันไม่มี แน่นขนาดนั้นเลย
๓ สัตว์นรกในอเวจี ทุกเวลานาทีมีแต่ความทุกข์ โลกมนุษย์เราคนที่มีทุกข์ที่สุดก็ยังอาจจะมีบางขณะจิตที่รู้สึกว่าทุกข์มันแผ่วลง แต่ในอเวจีมหานรกไม่มีขณะจิตแบบนั้นเลย มีแต่จะทุกข์ทวีขึ้นทุกขณะจิต
ด้วยประการดังนี้แล นรกขุมนั้นจึงมีชื่อว่า “อเวจี” แปลว่า “ไม่มีที่ว่าง”
……………………………..
เพื่อน: ถ้าแปลพระไตรปิฎกให้อ่านเข้าใจง่ายๆ แบบนี้ก็ดีนะสิ เก่งนิ
ผม: ไม่เก่งเลย นักเรียนบาลีที่เก่งกว่าผมยังมีอีก มีเยอะด้วย ที่กำลังเรียนอยู่ก็เยอะ
เพื่อน: แล้วท่านเหล่านั้นไม่ได้ช่วยกันแปลแบบนี้หรอกเรอะ
ผม: เท่าที่รู้ ไม่มีใครทำ
เพื่อน: อ้าว ทำไมล่ะ
ผม: ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
๑๗:๓๖
…………………………………..