สามสถาบัน
สามสถาบัน
————-
ในภาษาไทยสมัยใหม่ เมื่อเอ่ยคำว่า “สามสถาบัน” ย่อมเป็นที่รู้กันดีว่าหมายถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสำคัญของสังคมไทย
คนไทยรุ่นใหม่มักตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมสังคมไทยจะต้องประกอบด้วยสามสถาบัน มีสถาบันชาติอย่างเดียวก็พอ ทำไมจะต้องมีสถาบันศาสนา ทำไมจะต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์
ข้อสงสัยนี้คงจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยอย่างน้อย ๒ ข้อ คือ –
๑ การไม่ได้ศึกษารากเหง้าของตัวเองให้เข้าใจถูกต้องชัดเจนว่าชาติไทยเป็นมาได้อย่างไร
การไม่ศึกษาตัวเองให้เข้าใจนี้ กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย
เป็นปัญหาตรงที่ว่า มีเหตุขัดข้องอย่างไรหรือ คนไทย-โดยเฉพาะเด็กไทย-จึงไม่ศึกษาเรียนรู้รากเหง้าของตัวเอง มันติดขัด มันเสียหาย มันไร้สาระตรงไหนหรือจึงไม่เรียนรู้?
๒ การนับถือเลื่อมใสชื่นชมความเป็นไปของต่างชาติ จนถึงขั้นคิดเอาว่า ชาติโน้นเขามีอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนั้น ก็อยากให้ชาติของเรามีอย่างนั้นและเป็นอย่างนั้นบ้าง
ปัจจัยทั้งสองนี้มีส่วนหนุนกันและกันอยู่ในตัว กล่าวคือ –
เพราะไม่ศึกษาเรียนรู้ให้รู้จักตัวเอง จึงไม่รู้ว่าตัวมีอะไรดี จะพัฒนาข้อดีและแก้ไขข้อด้อยได้อย่างไร เป็นเหตุให้ไปมองหาของดีจากชาติอื่น
เพราะไปมองหาของดีจากชาติอื่น จึงดูถูกของดีของตัวเองที่ตนเองก็ไม่รู้จักแท้จริง
เมื่อดูถูกตัวเอง ก็ไม่เห็นคุณค่า เมื่อไม่เห็นคุณค่าก็จึงไม่ต้องการจะศึกษาเรียนรู้ให้รู้จักตัวเองซ้ำเข้าไปอีก
…………..
การจะเข้าใจคุณค่าของ “สามสถาบัน” ต้องเริ่มด้วยการศึกษาเรียนรู้ให้รู้จักตัวเอง
ดังที่กล่าวข้างต้น-การไม่ศึกษาตัวเองให้เข้าใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย
ปัญหานี้แก้ระดับจุลภาค คือทำความเข้าใจกันไปทีละคนสองคน ก็พอทำได้ แต่แทบจะไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม
ความเปลี่ยนแปลงในสังคมต้องเกิดจากความเข้าใจในระดับมหัพภาค
การสร้างความเข้าใจในระดับมหัพภาคต้องทำในระดับนโยบาย คือต้องกำหนดเป็นนโยบายของบ้านเมืองอย่างที่เรียกกันว่า “วาระแห่งชาติ”
นโยบายของบ้านเมืองก็ต้องมาจากผู้บริหารบ้านเมือง
แล้วผู้บริหารบ้านเมืองของเรามาจากไหน – ถามอย่างนี้ก็เริ่มจะมองเห็นเค้าของความยากแล้ว
ผู้บริหารบ้านเมืองของเราไม่เคยมีนโยบายที่ยั่งยืนต่อเนื่องยาวนาน
คิดอะไรขึ้นมา ทำกันวูบวาบชั่วคราว แล้วก็เลิก
แค่ถามว่า เราจะอบรมสั่งสอนปลูกฝังเด็กไทยให้มีคุณธรรมหรือบุคลิกลักษณะแบบไหน – แค่นี้ก็ไม่มีใครตอบได้แล้ว
ไม่รู้จะไปถามใคร
ยังไปไม่ถึงขั้นลงมือทำด้วยซ้ำ
เมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไรบ้านเมืองของเราจึงจะได้ผู้บริหารที่มีความสามารถในการกำหนดนโยบายระยะยาว สิ่งที่ทุกคนสามารถลงมือทำไปได้เลยโดยไม่ต้องรอใครและไม่ต้องรอกัน (คุณทำก่อนสิ แล้วฉันจึงจะทำ คนพวกนั้นทำก่อนสิ แล้วคนพวกฉันจึงจะทำ) รวมทั้งไม่ต้องลากภูเขามาขวางทางตัวเอง (เราทำไปคนเดียว คนอื่นเขาไม่ทำ จะมีประโยชน์อะไร) ก็คือ –
ข้อ ๑ ฝึกอบรมตัวเองเป็นเบื้องต้น
ใครเบื่อคนไทยว่า คนไทยมันก็เป็นเสียอย่างนี้บ้านเมืองจึงไม่เจริญ ก็บังคับตัวเองว่า-ตัวเราก็อย่าเป็นคนแบบนั้นสิ
ใครเห็นว่าคนไทยควรจะเป็นคนอย่างไรบ้านเมืองจึงจะเจริญ ก็ฝึกฝนอบรมตัวเองให้เป็นคนแบบนั้นสิ
เราเป็นเองได้คนหนึ่ง นั่นคือเมืองไทยมีคนที่บ้านเมืองต้องการคนหนึ่งแล้ว เริ่มนับหนึ่งแล้ว โอกาสสำเร็จมีแล้ว
ข้อ ๒ ต่อจากนั้น อบรมสั่งสอนปลูกฝังไปยังคนรอบตัว คนที่เราสามารถอบรมสั่งสอนได้ เช่นลูกหลานในครัวเรือนเป็นต้น
ข้อ ๒ นี่ ใครทำไม่ได้ก็ยังไม่ต้องทำ พร้อมเมื่อไรค่อยทำ
แต่แค่ข้อ ๑ ข้อเดียว ถ้าใครคิดว่าข้าพเจ้าทำไม่ได้ ก็ควรอยู่เงียบๆ เลิกบ่นเลิกด่าบ้านเมืองของตัวเอง เลิกด่าบรรพบุรุษของตัวเอง
รวมทั้งเลิกสงสัยว่า ทำไมจะต้องมีศาสนา ทำไมจะต้องมีพระมหากษัตริย์ มีชาติอย่างเดียวก็พอมิใช่หรือ
ฝึกฝนตนเองตามข้อ ๑ ให้ได้ก่อน แล้วก็จะรู้คำตอบได้เอง
ถ้าฝึกฝนตนเองก็ยังไม่ฝึก
สงสัยก็ยังไม่เลิก
ซ้ำเอาแต่บ่นว่าด่าทอแผ่นดินของตัวเองไม่หยุดปาก
แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร
ลองท่องข้อความข้างล่างนี้วันละ ๓ เวลาก่อนอาหาร บางทีอาการอาจจะค่อยทุเลาลงบ้างกระมัง
………………………….
สถาบันไม่เคยทำลายใคร
ถ้าไม่มีใครไปทำลายสถาบัน
………………………….
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
๑๕:๓๓
…………………………………….
สามสถาบัน