บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๐๑)

เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๑๒)

เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๑๒)

————————————–

คำอาราธนาศีล (ต่อ)

มะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, 

ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.

ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต …

ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต …

เขียนแบบบาลี :

มยํ ภนฺเต, วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย, 

ติสรเณน สห, ปญฺจ สีลานิ ยาจาม.

ทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต …

ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต …

……………..

ในพิธีสงฆ์ที่เป็นพิธีทางการ พิธีกรจะเป็นผู้กล่าวคำอาราธนาศีลเพียงคนเดียวเสมือนเป็นผู้แทน ผู้ร่วมพิธีไม่ต้องกล่าวด้วย แต่ในพิธีสงฆ์ที่เป็นพิธีแบบชาวบ้าน เช่นทำบุญวันพระเป็นต้น แม้จะมีมรรคนายกเป็นผู้นำทำพิธี แต่ผู้ร่วมพิธีก็นิยมกล่าวคำอาราธนาศีลไปพร้อมๆ กับมรรคนายกด้วย

เพราะฉะนั้น คำอาราธนาศีลจึงเป็นคำที่ทุกควร “ว่า” ได้ด้วยตนเอง 

ว่าได้ด้วยตนเอง หมายถึงไม่ต้องกางหนังสืออ่าน

มีเรื่องที่ขออนุญาตชวนคิดปิดท้ายเรื่องคำอาราธนาศีลอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ มีใครเคยคิดสงสัยบ้างหรือไม่ว่า จะรับศีลหรือถือศีล ทำไมจึงต้อง “ขอศีล”

ตามหลักการปฏิบัติธรรม เรามีศรัทธาพอใจจะปฏิบัติเรื่องอะไร นั่นหมายถึงว่าเราเข้าใจเรื่องที่เราจะปฏิบัตินั้นแล้ว คือเราศึกษาเรียนรู้จนเข้าใจดีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องทำอย่างนี้ๆ อย่างน้อยที่สุดก็เข้าใจดีแล้วในขั้นพื้นฐาน ส่วนในขั้นรายละเอียดอาจจะต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเอาตามรายทางในระหว่างปฏิบัติ

เรื่องถือศีลก็เช่นเดียวกัน เราต้องรู้ก่อนว่าศีลที่เราจะถือคืออะไร คือการงดเว้นเรื่องอะไรบ้าง 

…………………………..

งดเว้นการฆ่า

งดเว้นการลักขโมย

งดเว้นการประพฤติผิดในลูกเมียคู่ครอง

งดเว้นการพูดเท็จ

งดเว้นการเสพของมันเมา

…………………………..

พอรู้เข้าใจแล้ว เรามีศรัทธาที่จะปฏิบัติ เราก็ตั้งใจลงมือปฏิบัติตาม

รู้แล้วว่างดเว้นเรื่องอะไรบ้าง แล้วตกลงใจงดเว้น นั่นคือการถือศีลได้เกิดขึ้นแล้วทันที ณ จุดนั้น

แล้วทำไมจะต้องไป “ขอศีล” จากพระ?

มีใครเคยคิดสงสัยบ้างไหม

……………….

ผมมีข้อสันนิษฐาน คือข้อตกลงใจแน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนี้-กล่าวคือ –

๑ ชาวบ้านศึกษาเรื่องศีลแล้วมีศรัทธาจะถือศีล ขั้นตอนนี้ทำได้ทันที เป็นการถือศีลแล้วในทันทีที่ตกลงใจปฏิบัติ

๒ แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจและมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ก็ควรจะมีผู้รู้เห็นเป็นพยาน เป็นการย้ำยืนยันว่าเราตั้งใจทำจริงๆ เหยาะแหยะเหลาะแหละไม่ได้ เพราะมีพยานรู้เห็น

๓ พยานที่ดีที่สุดในการถือศีลปฏิบัติธรรมก็คือพระ เราก็จึงไปบอกกับพระว่า เราจะถือศีลทั้ง ๕ ข้อ กล่าวออกมาเป็นถ้อยคำตามที่รู้เข้าใจตรงกันว่า ข้าพเจ้าของดเว้นเรื่องนี้ๆ 

๔ ข้อความแสดงเจตนางดเว้นที่เราได้ศึกษามาแล้วก็คือ –

…………………………..

(๑) ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือเว้นจากการฆ่าสัตว์)

(๒) อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย)

(๓) กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือเว้นจากการประพฤติผิดในกาม)

(๔) มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือเว้นจากการพูดเท็จ)

(๕) สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือเว้นจากสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท)

…………………………..

ในชั้นเดิม ผู้มีศรัทธาถือศีลจะไปกล่าวข้อความเหล่านี้-เฉพาะที่เป็นคำบาลี-ต่อหน้าพระ เพื่อให้พระเป็นพยานว่า-ข้าพเจ้าจะถือศีลละนะ

นี่ก็คือที่เราเรียกรู้กันว่า “คำสมาทานศีลห้า”

พระได้ฟังแล้วก็อนุโมทนาด้วยการกล่าวอานิสงส์การถือศีลเพื่อให้กำลังใจแก่โยม ดังนี้ –

…………………………..

สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ (บุคคลไปถึงสุคติภูมิได้ก็เพราะศีล)

สีเลนะ  โภคะสัมปะทา (ถึงพร้อมด้วยโภคะก็เพราะศีล)

สีเลนะ  นิพพุติง  ยันติ (ถึงความดับทุกข์คือพระนิพพานได้ก็เพราะศีล)

ตัส๎มา  สีลัง  วิโสธะเย. (เพราะฉะนั้น จึงควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์สะอาด

…………………………..

คำสมาทานศีลนั้น ในชั้นเดิมจริงๆ ผู้ถือศีลกล่าวออกมาด้วยตนเองเพราะได้ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว พระคงกล่าวเฉพาะอานิสงส์ศีล (สีเลนะ …) เท่านั้น

การไปกล่าวคำสมาทานศีลต่อหน้าพระเพื่อให้พระเป็นพยานนี้เป็นที่นิยมทำกันมากขึ้น จนกลายเป็นธรรมเนียม ใครจะถือศีลก็ต้องไปกล่าวคำสมาทานศีลต่อหน้าพระทุกครั้งไป

ตกมาในชั้นหลัง คนถือศีลกล่าวคำสมาทานไม่คล่อง เพราะความอุตสาหะในการท่องจำลดน้อยลง พอติดตรงคำไหน พระท่านก็จะบอกให้ 

แรกๆ ก็คงบอกเฉพาะคำที่ติด แต่พอนานๆ ไป กลายเป็นติดหมดทุกคำ พระก็เลยต้องว่านำให้หมดทุกคำทุกข้อ

ภาพจึงออกมาดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน คือคนถือศีลไปกล่าวคำสมาทานต่อหน้าพระโดยให้พระกล่าวนำ

แล้วคำอาราธนาศีลเกิดมาได้อย่างไร? 

ถึงตอนนี้ก็คงเดาได้ไม่ยาก นั่นก็คือ ไหนๆ ก็ต้องให้พระกล่าวนำเหมือนกับขอศีลจากพระจนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ก็คงจะมีคนฉลาดคิดเกิดไอเดียว่า ถ้ามีคำขอศีลเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยก็จะดูดีขึ้น

“มะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ …” ก็เลยเกิดขึ้นมาในตอนนั้น แล้วเรียกกันว่า “คำอาราธนาศีล” ซึ่งมีความหมายเต็มๆ ว่า คำอาราธนาพระขอให้กล่าวคำสมาทานศีลนำให้ญาติโยม เพราะญาติโยมกล่าวเองไม่คล่อง

จนในที่สุดกลายเป็นแบบแผน จะถือศีลต้องมีพระมาให้ศีล และต้องกล่าวคำอาราธนาศีล ให้พระกล่าวคำสมาทานนำ ญาติโยมกล่าวตาม แม้ใครจะกล่าวคำสมาทานศีลได้คล่องด้วยตนเอง ก็ต้องให้พระกล่าวนำเสมอไป เรียกกิริยาที่ทำเช่นนี้ว่า “ขอศีล – ให้ศีล – รับศีล”

……………….

แบบแผนนี้มีอิทธิพลถึงขนาดลบหลักการเดิมที่ว่า ใครจะถือศีล เมื่อศึกษาเข้าใจดีแล้วว่างดการกระทำเช่นไรบ้าง ก็สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองทันที –

กลายเป็น-เกิดความเข้าใจกันทั่วไปว่า-จะถือศีลต้องไปขอศีลจากพระ ต้องไปวัด ต้องอาราธนาศีล ต้องมีพระให้ศีล ทำอย่างนี้จึงจะเป็นการถือศีล ถ้าไม่ได้ทำอย่างนี้ การถือศีลก็ทำไม่ได้

เวลานี้ก็ยังมีคนเป็นอันมากเข้าใจเช่นนี้ เช่นวันพระไหนไม่ได้ไปวัด ก็จะบอกว่า “วันพระนี้ไม่ได้ไปวัด เลยไม่ได้ถือศีล” 

ทั้งๆ ที่การถือศีลนั้นสามารถทำได้ทุกที่ในขณะที่เกิดกุศลจิตตั้งใจงดเว้นเรื่องนั้นๆ 

……………….

เรื่องที่-แรกเริ่มเดิมที่ชาวบ้านกล่าวเอง แล้วต่อมากลายเป็นพระเป็นผู้กล่าว-ที่เป็นพยานได้ชัดๆ เรื่องหนึ่งก็คือ คำกล่าวชุมนุมเทวดา (สัคเค กาเม จะ รูเป …)

คำกล่าวชุมนุมเทวดาก็คือคำเชิญเทวดาให้มาฟังธรรม เกิดจากการที่ชาวบ้านจัดงานนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์-อันเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงธรรม-เจ้าภาพมีน้ำใจเผื่อแผ่ถึงเทวดา อยากให้เทวดาได้บุญด้วย ก็จึงตั้งกุศลจิตเชิญเทวดามาฟังพระสวดมนต์ด้วย

…………………………..

จะเชิญใครมาร่วมงาน 

เจ้าภาพหรือเจ้าของงานก็ต้องเป็นผู้เชิญ 

นี่เป็นหลักสากล

…………………………..

ชั้นเดิม เจ้าภาพก็คงกล่าวคำเชิญ-คือบทชุมนุมเทวดา-ด้วยตนเอง รายไหนกล่าวเองไม่คล่อง ก็ขอแรงคนที่กล่าวคล่อง-ซึ่งก็คือชาวบ้านด้วยกันที่ทำหน้าที่พิธีกรหรือมรรคนายก-ช่วยกล่าวแทนให้ 

แต่ก็คงมีอยู่บ่อยๆ ที่ไปเจอชาวบ้านที่ทำหน้าที่มรรคนายกจำเป็นว่าบทชุมนุมเทวดาไม่คล่อง 

เดิม พระท่านก็คงกล่าวนำให้เป็นบางคำบางตอน 

นานๆ เข้า พระต้องกล่าวนำให้ทุกคำ 

หนักๆ เข้า พระกล่าวเสียเอง หมดเรื่องหมดราวไป

จนในที่สุด กลายเป็นแบบแผน ชุมนุมเทวดา พระเป็นผู้กล่าว ดังภาพที่เราเห็นกันในทุกวันนี้

……………….

อีกเรื่องหนึ่งที่-เมื่อก่อนไม่มี แต่เดี๋ยวกำลังเกิดขึ้น ก็คือ คำถวายสังฆทาน

เมื่อก่อนนี้-ตีเสียว่าเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เวลาถวายสังฆทานเจ้าภาพญาติโยมเป็นผู้กล่าวเองทั้งหมด พระมีหน้าที่รับ สาธุ และกล่าวคำอปโลกน์เท่านั้น

แต่เชื่อหรือไม่ ทุกวันนี้ เวลาถวายสังฆทาน หลายๆ วัดพระเป็นผู้กล่าวคำถวายนำให้เจ้าภาพกล่าวตามทุกคำกันแล้ว เพราะเจ้าภาพกล่าวเองไม่ได้ หามรรคนายกมาช่วยกล่าวนำให้ก็ไม่ได้ พระต้องกล่าวนำให้

ผมขอพยากรณ์ว่า อีกไม่เกินศตวรรษข้างหน้า พิธีถวายสังฆทานพระจะเป็นผู้กล่าวคำถวายให้ญาติโยมกล่าวตาม-แบบเดียวกับกล่าวคำสมาทานศีลให้โยมกล่าวตามที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ 

แล้วตอนนั้นก็จะมีคนฉลาดแต่ง “คำอาราธนาสังฆทาน” ขึ้นมาเหมือนคำอาราธนาศีลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้

ใครอยู่ถึงตอนนั้น ขอแรงช่วยจำคำพยากรณ์ของผมไว้ด้วยนะครับ-ขอบพระคุณล่วงหน้า 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔

๑๗:๐๒

…………………………….

เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๑๓)

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๑๑)

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *