เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๐๑)
เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๒๑)
เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๒๑)
————————————–
ตอบคำถาม: อะภิวาทะนะสี… ไม่ใช่คำให้พร
…………………………….
เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๑๙)
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/4135303146563391
…………………………….
ในตอนที่แล้ว – “อะภิวาทะนะสี… ไม่ใช่คำให้พร” มีผู้แสดงความสงสัยบางประการ ขอนำมาแถลงไขเพื่อความเข้าใจอันดีไว้ ณ ที่นี้
……………………………………….
หากเป็นการแสดงธรรม ผู้แสดงจะไม่ผิดเสขิยวัตรหรือ
……………………………………….
สำหรับท่านที่ไม่มีพื้นมาก่อน ควรทราบว่า ศีลของพระเฉพาะส่วนที่มาในพระปาติโมกข์มี ๒๒๗ สิกขาบท (คือที่เรารู้กันว่าพระมีศีล ๒๒๗ ข้อ สามเณรมี ๑๐ ข้อ ฯลฯ)
“เสขิยวัตร” เป็นส่วนหนึ่งในจำนวน ๒๒๗ นั้น
เสขิยวัตรมีทั้งหมด ๗๕ สิกขาบท แบ่งตามเนื้อหาเป็น ๔ หมวด
หมวด ๑ ว่าด้วยระเบียบการนุ่งห่มและกิริยามารยาททั่วไป เรียกว่า “สารูป” มี ๒๖ สิกขาบท
หมวด ๒ ว่าด้วยมารยาทในการขบฉัน เรียกว่า “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท
หมวด ๓ ว่าด้วยระเบียบการแสดงธรรม เรียกว่า “ธัมมเทสนาปฏิสังยุต” มี ๑๖ สิกขาบท
หมวด ๔ ว่าด้วยมารยาทในการขับถ่าย แต่เรียกชื่อหมวดว่า “ปกิณกะ” แปลว่าเรื่องเบ็ดเตล็ด มี ๓ สิกขาบท
ในหมวดที่ว่าด้วยระเบียบการแสดงธรรม มีสิกขาบทหนึ่งบัญญัติไว้ว่า ภิกษุยืนอยู่ ห้ามแสดงธรรมแก่คนที่นั่ง (พระยืน คนฟังนั่ง)
ที่ยกเสขิยวัตรมาอ้างก็คืออ้างสิกขาบทนี้ โดยพิจารณาข้อเท็จจริงว่า พระยืนรับบิณฑบาต คนใส่บาตรใส่เสร็จแล้วก็จะนั่งลงรับพร
ถ้าการให้พร (อะภิวาทะนะสี…) เป็นการแสดงธรรม พระยืน คนฟังนั่ง ก็ผิดสิกขาบทที่ว่านี้
ประเด็นที่เอาไปถกเถียงกันเรื่องพระให้พรตอนใส่บาตรก็คือ ฝ่ายไม่เห็นด้วยบอกว่า ตามแบบแผน พระฉันเสร็จแล้วจึงให้พร พระให้พรข้างถนนแบบนั้นจึงผิด
ฝ่ายเห็นด้วยบอกว่า ไม่ผิด เพราะไม่ใช่ให้พร แต่เป็นการแสดงธรรม
ฝ่ายไม่เห็นด้วยจึงแย้งกลับว่า พระยืนแสดงธรรม คนฟังนั่ง ก็ผิดเสขิยวัตร
เรื่องก็มาค้างคาอยู่ตรงนี้
…………..
เรื่องนี้ถ้ายึดถือแบบแผนเดิมก็จะไม่มีปัญหา
ภิกษุไปบิณฑบาตก็คือไปขออาหารจากชาวบ้าน แต่ขอด้วยวิธีของพระอริยะ คือยืนยิ่ง ไม่เอ่ยปากขอ จึงเกิดเป็นแบบแผนในพระพุทธศาสนาคือภิกษุออกบิณฑบาตไม่พูดไม่คุยกับใคร ไม่เอ่ยปากอะไรกับทายก
ชั้นเดิม เมื่อโยมนิมนต์ไปฉัน พระฉันเสร็จแล้วก็ลุกไปเฉยๆ ต่อมาชาวบ้านติงว่า นักบวชอื่นๆ ให้พรเมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ทำไมภิกษุจึงไม่ให้พร จึงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุ “กระทำอนุโมทนา” เมื่อฉันเสร็จ
“กระทำอนุโมทนา” ตามแบบแผนของภิกษุคือแสดงธรรมเป็นหลัก ให้พรเป็นส่วนประกอบ น้ำหนักของพรนั้นอยู่ที่การแสดงธรรมเป็นการให้กำลังใจให้ทายกทำ “เหตุ” เพื่อให้เกิดพรอันเป็น “ผล” ไม่ใช่ให้พรลอยๆ อย่างที่นิยมให้กันในเวลานี้ เช่น “ขอให้รวย ขอให้รวย” แต่ไม่ได้บอกว่าทำอย่างไรจึงจะรวย คือขอผล แต่ไม่สอนวิธีทำเหตุ ไปๆ มาๆ กำลังจะกลายเป็นขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล อันเป็นวิธีที่ผิดหลักการของพระพุทธศาสนา
…………..
ขออนุญาตเล่าประกอบว่า เมื่อผมบวชเณร พระอาจารย์ที่ปกครองผมท่านสอนตั้งแต่วันแรกว่า
๑ ระหว่างเดินไปบิณฑบาตให้ภาวนาว่า “นามะรูปัง อะนิจจัง นามะรูปัง ทุกขัง นามะรูปัง อะนัตตา” ให้ภาวนาอย่างนี้ตลอดทางตั้งแต่ออกจากวัดจนกลับถึงวัด
๒ อย่าพูดอะไรกับญาติโยมที่ใส่บาตร เว้นไว้แต่เรื่องจำเป็น เช่นโยมถาม ก็ให้ตอบเท่าที่จำเป็น
…………..
ที่เป็นแบบแผนทั่วไปก็คือ พระไปบิณฑบาต กลับถึงวัด ฉันเสร็จแล้วจึง “กระทำอนุโมทนา” ที่เราเรียกกันไปตามความเข้าใจเอาเองว่า “ให้พร” แต่ถ้าศึกษาคำอนุโมทนาก็จะเห็นว่าเป็นการกล่าวหลักธรรมอันใดอันหนึ่งก่อนที่จะตั้งความปรารถนาดีต่อทายก
จึงเป็นแบบแผนหรือเป็นหลักที่ปฏิบัติกันมาทั่วสังฆมณฑลว่า กลับถึงวัด ฉันแล้วจึงให้พร คือกระทำอนุโมทนาตามเนื้อหาที่ว่ามานั้น
การยืนให้พรกันข้างถนนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เข้าใจว่ามีเหตุมาจาก-จะเอาใจโยม
ฝ่ายโยมก็เกิดชอบใจ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ก็เลยขอให้พระให้พรกันตรงที่ใส่บาตรนั่นเอง น้ำหนักของการให้พรก็ชักจะเอียงไปในทางขอให้เกิดผลจากการดลบันดาลมากกว่าเกิดผลจากการประพฤติดีปฏิบัติชอบเข้าไปทุกที
เป็นความต้องการและมุ่งจะสนองความต้องการโดยไม่ได้ศึกษาแบบแผนเดิม และไม่ได้ยืนหยัดอยู่ในหลักการเดิม และถ้ายังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ความผิดเพี้ยน-ไม่ใช่เฉพาะให้พรข้างถนนเรื่องเดียว-แม้ในเรื่องอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ
ทางแก้ก็คือ ขอให้ช่วยกันศึกษา-อย่างที่กำลังศึกษากันอยู่นี้
……………………………………….
พระควรใช้บทไหนเมื่อรับบาตรแล้ว
……………………………………….
เมื่อรู้หลักหรือแบบแผนเดิมแล้ว ถอยไปตั้งหลักที่เดิม คือไม่ต้องขอพรไม่ต้องให้พรกันตรงที่ใส่บาตร กลับถึงวัดฉันเสร็จแล้วจึงอนุโมทนา ดังที่พระไทยปฏิบัติกันมาแต่กาลก่อน ก็ไม่ต้องมีปัญหาว่าจะใช้บทไหน เพราะบทไหนๆ ก็ไม่ต้องใช้อยู่แล้ว
ส่วนการอนุโมทนาเมื่อฉันเสร็จแล้ว ใช้บทไหนก็มีแบบแผนชัดเจนอยู่แล้ว
สั้นๆ-ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องให้พรกันตรงนั้น ก็ไม่ต้องใช้บทไหนเลย
สำหรับญาติโยมที่ใส่บาตร ก็ขอให้ทำความเข้าใจกันใหม่ว่า บุญที่เกิดจากการใส่บาตรไม่ได้อยู่ที่พระต้องให้พรกันตรงนั้นทันที จึงไม่จำเป็นจะต้องได้พรกันทันทีตรงนั้น
แม้พระจะไม่ให้พร เราก็ได้บุญจากทานมัยกุศลเรียบร้อยแล้วทันทีที่ทำเสร็จ
และแม้พระจะไม่ให้พร เราก็สามารถอุทิศส่วนบุญให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับแล้วได้อย่างสมบูรณ์
อาจยากหน่อยที่จะคิดเช่นนี้ แต่ถ้าไม่เริ่มฝึกคิดตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เราจะหลงทางจนกลับก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔
๑๘:๓๐
…………………………….
เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๒๒)
…………………………….
เรียนบาลีแบบใช้งานในชีวิตประจำวัน (๐๒๐)