จับผิดกับชี้โทษต่างกันอย่างไร
จับผิดกับชี้โทษต่างกันอย่างไร
————————–
—————
ดูเทียบเคียงที่ –
อย่าไปเที่ยวว่าอะไรใครเขา
๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘
—————
มักมีผู้อ้างว่า พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้สนใจเรื่องของคนอื่น และไม่ให้มองหาความผิดของคนอื่น ให้สนใจเฉพาะเรื่องของตัวเอง
ผมเข้าใจว่าพวกเราส่วนมากยังไม่เข้าใจเรื่องนี้
ขอได้โปรดช่วยกันศึกษาพุทธภาษิตต่อไปนี้
—————
๑ เรื่องไม่ให้สนใจเรื่องของคนอื่น
มีที่มาจากพุทธภาษิตว่า –
น ปเรสํ วิโลมานิ
น ปเรสํ กตากตํ
อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย
กตานิ อกตานิ จ.
ไม่ควรเก็บเอาคำด่าว่าของคนอื่นมาใส่ใจ
ไม่ควรสนใจกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคนอื่น
พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้น
(ปุปผวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๔
ปาฏิกาชีวกวัตถุ ธัมมปทัฏฐถกถา ภาค ๓)
เบื้องหลังของพุทธภาษิตบทนี้ก็คือ สตรีผู้หนึ่งนิมนต์พระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมที่บ้าน ในขณะที่ฟังธรรม ถูกอาชีวก (นักบวชในศาสนาหนึ่ง) ที่ตนอุปถัมภ์บำรุงซึ่งมาที่บ้านในเวลานั้นด่าว่าอย่างรุนแรงจนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าจึงตรัสพุทธภาษิตนี้
ความมุ่งหมายในพุทธภาษิตนี้ก็คือ เมื่อจะทำกิจที่ถูกต้องดีงามก็ให้ตั้งใจแน่วแน่ มุ่งไปที่งานที่จะต้องทำเท่านั้น อย่าพะวงกับคำตำหนิติเตียนของใครอื่น พร้อมกันนั้นก็อย่าเสียเวลาไปกับเรื่องนอกตัว ใครจะทำหน้าที่ของเขาหรือไม่ได้ทำ ก็เป็นเรื่องของเขา เวลานี้เรามีหน้าที่จะต้องทำเรื่องนี้ก็ทุ่มเทกับเรื่องที่กำลังทำนี้ให้เต็มที่
จะเห็นได้ว่า หัวใจของเรื่องอยู่ที่ให้ตั้งใจทำหน้าที่ของตน
หัวใจของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ห้ามสนใจเรื่องของคนอื่น
เรื่องของคนอื่น-ถ้าเป็นเรื่องที่ตนควรเกี่ยวข้องด้วย หรือเป็นหน้าที่ที่จะต้องเกี่ยวข้องด้วย ก็ต้องสนใจ
จะไม่สนใจ-โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ให้สนใจเรื่องของคนอื่น-อย่างนี้ไม่ถูก เพราะจะกลายเป็นความไม่รับผิดชอบ
เมื่อพระพุทธองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระภิกษุจากทิศทั้งหลายต่างก็มาเฝ้าและตามเสด็จไปในที่ต่างๆ
แต่มีภิกษุรูปหนึ่งไม่ไปเฝ้า
ภิกษุทั้งหลายไม่พอใจจึงนำตัวท่านไปฟ้องพระพุทธเจ้า
ท่านกราบทูลให้เหตุผลว่าท่านตั้งใจไว้ว่าจะเร่งเจริญภาวนาเพื่อให้ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานให้จงได้ ท่านจึงไม่มาเฝ้า
พระพุทธเจ้าทรงประทานสาธุการว่าภิกษุรูปนั้นทำถูกแล้ว
(อัตตทัตถเถรวัตถุ ธัมมปทัฏฐถกถา ภาค ๖)
ถ้าจะไม่สนใจเรื่องของผู้อื่น จะต้องมีเหตุผลทำนองนี้-คือกำลังตั้งใจทำงานของตัวให้สำเร็จ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามว่าตลอดชาตินี้ไม่ให้สนใจเรื่องของคนอื่นทั้งหมด
—————
๒ เรื่องการชี้โทษ
มีพุทธภาษิตว่า –
นิธีนํว ปวตฺตารํ
ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ
ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส
เสยฺโย โหติ น ปาปิโย.
พึงเห็นผู้มักชี้โทษเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์
พึงคบหาท่านผู้กล่าวข่มขี่ มีปัญญา เป็นบัณฑิตเช่นนั้นเถิด
เมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐ
หามีโทษที่เลวทรามไม่
(บัณฑิตวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๖
ราธเถรวัตถุ ธัมมปทัฏฐถกถา ภาค ๔)
ในคัมภีร์เล่าเรื่องพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อราธะ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเมื่ออายุมากแล้ว พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์
พระสารีบุตรจะอบรมสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวอะไร ท่านก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ ไม่มีทิฐิมานะว่าตนมีวัยสูงกว่า ถูกเด็กคราวลูกคราวหลานมาสั่งสอน
ในที่สุดท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นที่มาแห่งพุทธภาษิตบทนี้
ในคำอธิบายพุทธภาษิตบทนี้ท่านกล่าวถึงพระภิกษุที่เป็นพระอุปัชฌาย์ไม่อบรมสั่งสอนภิกษุที่เป็นศิษย์
ภิกษุที่เป็นศิษย์ประพฤติผิดพระธรรมวินัย หรือทำอะไรไม่ถูกไม่ควรอย่างไร ก็ไม่ว่าไม่กล่าว เพราะกลัวศิษย์จะโกรธบ้าง กลัวศิษย์จะไม่รักบ้าง และเพราะกลัวศิษย์จะไม่อำนวยประโยชน์ให้ตนบ้าง
ท่านบอกว่าพระอุปัชฌาย์ชนิดนี้เปรียบเหมือนผู้เอาขยะมาเทไว้ในพระศาสนา
ในการอยู่รวมกันเป็นสังคมก็มีคติอย่างเดียวกัน รู้เห็นว่าใครทำอะไรผิดแล้วปล่อยปละละเลย อ้างว่าไม่ใช่ธุระของเรา ซ้ำอ้างว่าพระพุทธศาสนาสอนไม่ใช่มองหาความผิดของคนอื่น ก็มีค่าเท่ากับทิ้งขยะให้รกสังคมนั่นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนชี้โทษเหมือนคนบอกขุมทรัพย์
การทำหน้าที่ชี้โทษจึงไม่ใช่เรื่องชั่วช้าเลวทราม
แต่ต้องทำด้วยกุศลจิต คือทำด้วยเจตนาจะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่าผิดอย่างไร ที่ถูกเป็นอย่างไร เพื่อเป็นทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก
———–
ผมเข้าใจว่า พวกเราส่วนมากไม่ค่อยเข้าใจว่า “จับผิด” กับ “ชี้โทษ” ต่างกันอย่างไร
“จับผิด” หมายถึง จ้องจับความผิดพลาดบกพร่องของคนอื่นด้วยเจตนาที่จะยกขึ้นประจานให้เขาเสียหาย หรือเพื่อจะกดให้เขาต่ำทรามลง
“ชี้โทษ” หมายถึง มองเห็นข้อผิดพลาดบกพร่องของคนอื่นแล้วหยิบขึ้นมาชี้ให้ดูด้วยเจตนาจะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่าผิดอย่างไร ที่ถูกเป็นอย่างไร เพื่อเป็นทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก
จับผิด มีเจตนาจะดูถูกคนอื่น
ชี้โทษ มีเจตนาที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ
เราส่วนมากเอา “จับผิด” กับ “ชี้โทษ” ไปปนกัน หรือเข้าใจว่าเป็นอย่างเดียวกัน
ที่ว่า-เข้าใจว่าเป็นอย่างเดียวกัน-หมายถึงเห็นการชี้โทษเป็นการจับผิดไปหมด
ในเฟซบุ๊กซึ่งเป็นเสมือน “หนังสือพิมพ์ส่วนตัว” ของแต่ละท่านนี่เองก็ปรากฏอยู่เนืองๆ ถึงข้อความที่กล่าวเป็นใจความว่า
-อย่ามัวแต่คอยมองความผิดพลาดบกพร่องของคนอื่น
-ควรมองเฉพาะการกระทำของตนเอง
โดยที่ไม่ได้ชี้ชัดว่าเป็นการมองอย่าง “จับผิด” หรือมองอย่าง “ชี้โทษ”
การที่พูดคลุมไปเช่นนี้ทำให้ดูเป็นว่า การหยิบเอาความผิดพลาดบกพร่องของใครขึ้นมาพูด ถือว่าเป็นการไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
ใครทำอะไรไม่ถูก ก็เป็นเรื่องของเขา
ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะเข้าไปยุ่งด้วย
ไม่ควรพูดถึง คือควรปล่อยไปตามเรื่องของเขา
ความคิดแบบนี้ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้คนทำผิดคงทำผิดได้ต่อไป
สำหรับคนที่ทำผิดเพราะไม่รู้ เมื่อไม่มีใครทักท้วง ก็ย่อมจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องแล้ว คือเข้าใจว่าผิดนั้นเป็นถูก
อาจอ้างต่อไปด้วยว่า ถ้าผิดก็จะต้องมีคนทักท้วงไปแล้วสิ นี่ไม่เห็นมีใครว่าอะไรนี่
ถ้าเป็นเช่นนี้มากเข้านานเข้า ผิดนั้นก็จะกลายเป็นถูกไป
สำหรับคนที่ทำผิดชนิดทำชั่ว (ผิด-ทุจริต) การไม่ทักท้วงมีค่าเท่ากับปล่อยให้คนผิดลอยนวลอยู่ได้อย่างสบาย
เป็นการปกป้องคนทำผิดไปโดยปริยาย
และเป็นการส่งเสริมให้คนทำผิดได้ใจ
ต่อไปก็ทำผิดได้อีกโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครรู้ เพราะรู้ว่าไม่มีใครว่าอะไรหรือทำอะไรได้
ในที่สุดสังคมก็จะมากไปด้วยคนที่กล้าทำผิดโดยเปิดเผย แม้จะมีใครรู้ก็ไม่กลัวและไม่รู้สึกอายกันอีกต่อไป
…………………………….