บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

โคตรโง่

โคตรโง่

——–

เคยได้ยินสำนวนไทยไหมครับ – “ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน” 

พจนานุกรมบอกความหมายว่า-ยอมรับผิดไม่สมกับความผิดที่ทำไว้ 

ที่มักเห็นกันชัดๆ ก็คือหนังสือพิมพ์ เวลาลงข่าวทำให้ใครเสียหาย จะขึ้นหน้าหนึ่ง พาดหัวตัวโต แม้ไม่อยากอ่านก็ต้องเห็น 

แต่พอศาลสั่งให้ขอโทษหรือขอขมา คำขอโทษจะเป็นตัวเล็กๆ ซ้ำเอาไปแอบซุกไว้ในหน้าในๆ ที่ลึกลับ หาเจอยากที่สุด 

เวลานี้จะยังนิยมประพฤติเช่นนี้กันอยู่หรือเปล่าไม่ทราบได้ 

ใครก็ตามที่นำแนวทางการกระทำเช่นนี้มาใช้ คงนั่งกระดิกขายิ้มกริ่มว่า-กูนี่โคตรฉลาดเลย 

———-

คำโฆษณาธุรกิจบางอย่าง เช่น ขายบ้านจัดสรร ขายรถ หรืองานอื่นใดอีกก็ตามที่ล่อใจด้วยของแถมต่างๆ เช่นแถมทองหรือแถมรถเป็นต้น ข้อความในกรอบหน้าหนังสือพิมพ์หรือบนป้ายโฆษณาตรงคำที่บอกว่ามีของแถมจะเป็นตัวใหญ่ เห็นชัดที่สุด 

แต่ของแถมทั้งหลายนั้นล้วนมีเงื่อนไขกำกับไว้ด้วย เช่นต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ บางทีต้องจ่ายค่านั่นนี่เพิ่มจึงจะได้ของแถม โดยมักจะใช้คำว่า “เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด” 

ข้อความที่ระบุเงื่อนไขนี่แหละจะทำเป็นตัวเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ ไม่เพ่งหาก็แทบมองไม่เห็น 

ทำไม? ก็เพราะไม่บอกเงื่อนไขเดี๋ยวจะเข้าข่ายหลอกลวง แต่ถ้าบอกเงื่อนไขโจ่งแจ้ง เห็นง่ายๆ คนก็จะไม่อยากซื้อ เพราะฉะนั้นก็ต้องมี “ลูกเล่น” กันบ้าง 

ลูกเล่นที่เล่นกันซึ่งๆ หน้าอีกอย่างหนึ่งก็คือโฆษณาขายบ้าน ภาพบ้าน ภาพสวนรอบบ้าน ภาพที่จอดรถ การตกแต่งที่ดูหรูหรา รวมแล้วอลังการมาก 

แต่ที่มุมล่างของภาพจะมีข้อความตัวเล็กๆ ไม่สังเกตก็ไม่เห็น บอกไว้ในทำนองว่า “ภาพและบรรยากาศจำลองเพื่อการโฆษณา” 

ใครก็ตามที่นำแนวทางการกระทำเช่นนี้มาใช้ คงนั่งกระดิกขายิ้มกริ่มว่า-กูนี่โคตรฉลาดเลย 

———-

สินค้าจำพวกของกินบรรจุกล่องกระป๋องถุง ตามระเบียบจะต้องระบุวันหมดอายุไว้ด้วย 

เคยสังเกตไหมครับว่า ตำแหน่งที่บอกวันหมดอายุจะอยู่ในที่ลับๆ เมื่อเทียบกับภาพหรือข้อความโฆษณาบนกล่องกระป๋องถุง บางชนิดบอกไว้ว่า “วันหมดอายุดูที่ก้นกระป๋อง” แต่พลิกดูจริงๆ ก็หาไม่เจอ 

สรุปว่า วันหมดอายุนั้นถ้าไม่ตรวจหาหรือไม่เพ่งดูกันจริงๆ แล้วจะไม่รู้เลยว่าอยู่ตรงไหน 

ทำไม? ก็เพราะของกินบางอย่างหมดอายุแล้วหน้าตาก็ยังดูดี ยังสามารถวางขายหลอกคนที่ไม่พิถีพิถันได้ง่าย (ซึ่งคนส่วนมากก็มักจะเป็นเช่นนั้น) 

ถ้าโชว์วันหมดอายุให้เห็นโจ่งแจ้ง ก็จะงุบงิบซื้อขายไม่ได้สะดวก 

(คงจะมีคนออกมาแก้แทนให้ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาจะปกปิด แต่เพราะความจำเป็นเช่นนั้นๆ เช่นนี้ๆ วันหมดอายุจึงไม่อาจติดไว้ในที่สะดุดตาได้ แต่สินค้าที่ระบุวันหมดอายุให้เห็นได้สะดุดตาก็มี อย่าเหมาหมด อย่ามองกันในแง่ร้ายนักซี่คุณลุง ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครซื้อของหมดอายุไป สังคมจะบอกว่า-ไม่ใช่ความผิดของคนขาย เป็นความโง่ของคนซื้อเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ใครก็ตามที่นำแนวทางการกระทำเช่นนี้มาใช้ คงนั่งกระดิกขายิ้มกริ่มว่า-กูนี่โคตรฉลาดเลย 

———-

มีอีกกรณีหนึ่งที่ผมสงสัย นั่นก็คือ สินค้าจำพวกของกินแก้ปากว่าง เป็นของทอดๆ กรอบๆ บรรจุซองลวดลายมักฉูดฉาดเตะตาเด็ก 

เวลาเข้าไปในห้าง ผมเคยเข้าไปจับๆ คลำๆ ดู สินค้าพวกนี้นิยมทำเป็นถุงพองลม ดูแต่ตาจะเห็นว่าถุงใหญ่ แต่เมื่อบีบคลำดูก็จะรู้ได้ว่าของที่บรรจุไว้ข้างในที่มองไม่เห็นนั้นมีไม่ถึงครึ่งถุง

อันนี้ไม่ใช่ประเด็นหลอกลวงด้วยปริมาณนะครับ เพราะเคยมีผู้ชี้แจงว่าสินค้าประเภทนี้กฎหมายกำหนดให้แจ้งปริมาณไว้ด้วย และผู้ผลิตก็แจ้งตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว เช่นแจ้งว่าถุงหนึ่งมีมันฝรั่งทอด ๑๐ ชิ้น ก็มีครบตามที่แจ้ง 

ประเด็นนี้ไม่ติดใจ 

แต่ติดใจว่า ทำถุงใหญ่พองลม แต่ของในถุงมีไม่ถึงครึ่งถุง ทำอย่างนั้นทำไม?

ผมเคยพยายามหาทางอธิบายช่วย เช่นบอกว่า ถ้าทำถุงแฟบๆ เล็กๆ พอดีกับปริมาณสินค้าที่อยู่ข้างใน ความกดอากาศในถุงจะมีน้อย ทำให้สินค้าเสื่อมคุณภาพได้ง่าย การทำถุงใหญ่พองลม ที่ว่างในถุงจะมีมาก ช่วยรักษาคุณภาพของสินค้า ผู้บริโภคจะได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย 

ว่าเข้าไปนั่น พอฟังขึ้นไหมครับ?

แต่ที่ผมเห็นได้ชัดๆ เหตุผลที่ทำเช่นนั้นก็คือ-หลอกความรู้สึกของผู้ซื้อ คือหลอกให้รู้สึกว่าถุงใหญ่ดีจัง พอเกิดรู้สึกเช่นนี้ก็จูงใจให้อยากซื้อ เพราะคิดเอาเองต่อไปว่า ถุงใหญ่ก็ต้องมีของเยอะ (โปรดสังเกตว่าสินค้าจำพวกนี้ถุงจะเป็นสีทึบ ซ้ำมีลวดลายทับเข้าอีก มองไม่เห็นของข้างใน)

การหลอกความรู้สึกนี้เป็นเทคนิคอีกอย่างหนึ่งในทางธุรกิจ 

ใครก็ตามที่นำแนวทางการกระทำเช่นนี้มาใช้ คงนั่งกระดิกขายิ้มกริ่มว่า-กูนี่โคตรฉลาดเลย 

———-

การกระทำเช่นที่ว่ามาพอเป็นตัวอย่างข้างต้นนั้น โปรดเข้าใจเสียใหม่นะครับว่า ไม่ใช่โคตรฉลาด แต่เป็นตรงกันข้าม คือโคตรโง่ 

เวลานี้คำจำกัดความระหว่างทางโลกกับทางธรรมมักจะขัดๆ กัน ในทางโลก ใครสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมแสวงหาประโยชน์จากความรู้ไม่ทันของเพื่อนมนุษย์ได้เก่ง ได้มาก ได้คล่อง เราก็ยกย่องกันว่ายอดฉลาดหรือโคตรฉลาด

แต่ในทางธรรม คนฉลาดคือคนที่เจริญด้วยคุณธรรม ไม่เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ตรงกันข้าม มีแต่จะคิดหาทางสงเคราะห์เกื้อกูลกันด้วยไมตรี

ผู้ที่เจริญด้วยคุณธรรมเช่นนี้ ทางพระท่านเรียกว่า “บัณฑิต” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา” หมายถึงคนฉลาด 

การเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมอย่างยิ่ง คนชนิดนั้นตรงกันข้ามกับบัณฑิต ท่านเรียกว่า “พาล” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีชีวิตอยู่เพียงหายใจเข้าออก” หมายถึงคนโง่ 

บางกรณีท่านเรียกว่า “อันธพาล” ซึ่งแปลว่า “โง่อย่างมืดมิด” ซึ่งก็คือโคตรโง่นั่นเอง

———-

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ญาติมิตรอ่านแล้ว ถ้าเห็นว่าผมพูดไม่ถูก พูดส่งเดช ไม่รู้ข้อเท็จจริง หรือพูดแบบมองกันในแง่ร้าย ขาดคุณธรรมเสียเอง ขอได้โปรดทักท้วงเตือนติงได้ทุกประเด็น

เจตนาของผมแค่ชวนคิด ชวนให้ฉุกคิด ชวนให้เฉลียวใจคิด รวมอยู่ในคำว่าช่วยกันรู้ทัน 

เราห้ามคนชนิดนั้นไม่ให้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเราไม่ได้ 

แต่เราช่วยกันรู้ทันได้

ในเมื่อจะต้องสัมผัสสัมพันธ์กับเรื่องประเภทนั้นๆ จะได้ไม่ถูกคนที่เขาคิดว่าตัวเองโคตรฉลาดมองเราอย่างเหยียดหยันว่า-เรานี่โคตรโง่

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๓

๑๐:๕๔

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *