บาลีวันละคำ

พุทธฎีกา (บาลีวันละคำ 3,442)

พุทธฎีกา

ไม่ใช่บอกบุญกฐินผ้าป่าสร้างพระพุทธรูป

อ่านว่า พุด-ทะ-ดี-กา

ประกอบด้วยคำว่า พุทธ + ฎีกา

(๑) “พุทธ”

เขียนแบบบาลีเป็น “พุทฺธ” (มีจุดใต้ ทฺ) อ่านว่า พุด-ทะ รากศัพท์มาจาก พุธฺ (ธาตุ = รู้) + ต ปัจจัย, แปลง ธฺ ที่สุดธาตุเป็น ทฺ, แปลง ต เป็น ธฺ (นัยหนึ่งว่า แปลง ธฺ ที่สุดธาตุกับ ต เป็น ทฺธ)

: พุธฺ + ต = พุธฺต > พุทฺต > พุทฺธ (พุธฺ + ต = พุธฺต > พุทฺธ) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้ทุกอย่างที่ควรรู้”

“พุทฺธ” แปลตามศัพท์ได้เกือบ 20 ความหมาย แต่ที่เข้าใจกันทั่วไปมักแปลว่า –

(1) ผู้รู้ = รู้สรรพสิ่งตามความเป็นจริง

(2) ผู้ตื่น = ตื่นจากกิเลสนิทรา ความหลับไหลงมงาย

(3) ผู้เบิกบาน = บริสุทธิ์ผ่องใสเต็มที่

ความหมายที่เข้าใจกันเป็นสามัญ หมายถึง “พระพุทธเจ้า”

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “พุทฺธ” ว่า –

One who has attained enlightenment; a man superior to all other beings, human & divine, by his knowledge of the truth, a Buddha (ผู้ตรัสรู้, ผู้ดีกว่าหรือเหนือกว่าคนอื่นๆ รวมทั้งมนุษย์และเทพยดาด้วยความรู้ในสัจธรรมของพระองค์, พระพุทธเจ้า)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –

“พุทธ, พุทธ-, พุทธะ : (คำนาม) ผู้ตรัสรู้, ผู้ตื่นแล้ว, ผู้เบิกบานแล้ว, ใช้เฉพาะเป็นพระนามของพระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา เรียกเป็นสามัญว่า พระพุทธเจ้า. (ป.).”

(๒) “ฎีกา”

บาลีเป็น “ฏีกา” (-ฏี ฏ ปฏัก) อ่านว่า ตี-กา รากศัพท์มาจาก ฏิกฺ (ธาตุ = รู้, บรรลุ) + อ (อะ) ปัจจัย, ทีฆะ อิ ที่ ฏิ-(กฺ) เป็น อี (ฏิกฺ > ฏีก) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์

: ฏิกฺ + อ = ฏิก > ฏีก + อา = ฏีกา แปลตามศัพท์ว่า “ถ้อยคำเป็นเครื่องรู้ข้อความ”

ความหมายเดิมในภาษาบาลี “ฏีกา” หมายถึง คัมภีร์ที่อธิบายความในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา (a sub-commentary)

บาลี “ฏีกา” (ฏ ปฏัก) ภาษาไทยใช้เป็น “ฎีกา” (ฎ ชฎา) และใช้ในความหมายอื่นๆ อีกหลายอย่าง

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของคำว่า “ฎีกา” ในภาษาไทยไว้ดังนี้ –

(๑) (คำนาม) : คำอธิบายขยายความ เช่น ฎีกาพาหุง (ป. ฏีกา).

(๒) (คำนาม) : ชื่อคัมภีร์หนังสือที่แก้หรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถา (ป. ฏีกา).

(๓) (คำนาม) : หนังสือที่เขียนนิมนต์พระสงฆ์ (ป. ฏีกา).

(๔) (คำนาม) : ใบแจ้งการขอเบิกเงินจากคลัง (ป. ฏีกา).

(๕) (คำนาม) : ใบบอกบุญเรี่ยไร (ป. ฏีกา).

(๖) (คำที่ใช้ในกฎหมาย) (คำนาม) : คำร้องทุกข์ที่ราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระมหากษัตริย์ (ป. ฏีกา).

(๗) (คำนาม) : ชื่อศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศไทย ซึ่งเรียกว่า ศาลฎีกา (ป. ฏีกา).

(๘) (คำนาม) : การคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ เพื่อเสนอให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาหรือวินิจฉัยชี้ขาด (ป. ฏีกา).

(๙) (คำโบราณ) (คำนาม) : ใบเรียกเก็บเงิน. (ป. ฏีกา).

(๑๐) (ภาษาปาก) (คำกริยา) : ยื่นคำร้องขอหรือคำคัดค้านต่อศาลฎีกา เช่น คดีนี้จะฎีกาหรือไม่. (ป. ฏีกา).

พุทธ + ฎีกา = พุทธฎีกา (พุด-ทะ-ดี-กา)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

“พุทธฎีกา : (คำนาม) ถ้อยคำของพระพุทธเจ้า; (คำโบราณ) ถ้อยคำของสมเด็จพระสังฆราช. (จารึกสยาม). (ป.)”

อภิปรายขยายความ :

คำว่า “พุทธฎีกา” รูปคำเป็นบาลี ถ้าแปลงกลับเป็นบาลีก็เขียนเป็น “พุทฺธฏีกา” (มีจุดใต้ ทฺ, -ฏี ฏ ปฏัก) อ่านว่า พุด-ทะ-ตี-กา

ยังไม่พบรูปศัพท์เช่นนี้ในคัมภีร์

คำว่า “ฎีกา” ที่เข้าใจกันในหมู่นักเรียนบาลี หมายถึงคัมภีร์ที่แก้หรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถา

กล่าวคือ ระดับชั้นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอนในพระพุทธศาสนา ชั้นสูงสุดหรือชั้นต้นเดิมคือ “พระบาลี” หรือที่เราเรียกว่า “พระไตรปิฎก”

รองลงมาคือคัมภีร์ที่แก้หรืออธิบายคัมภีร์พระไตรปิฎก เรียกว่า “อรรถกถา”

รองลงมาอีกคือคัมภีร์ที่แก้หรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถา เรียกว่า “ฎีกา” และรองลงไปจากฎีกาเรียกว่า “อนุฏีกา”

ว่าตามลำดับการอธิบายขยายความ แม้คัมภีร์ฎีกาจะอธิบายคัมภีร์พระไตรปิฎกต่อจากคัมภีร์อรรถกถาละเอียดออกไปอีกก็จริง แต่เมื่อว่าตามน้ำหนักที่เป็นหลักตัดสินถูกผิดเด็ดขาด ย่อมอยู่ที่คัมภีร์พระไตรปิฎก ไม่ได้ชี้ขาดที่คัมภีร์ฎีกา นี่เป็นหลักที่รับรองกันทั่วไป

การที่เราเรียกถ้อยคำของพระพุทธเจ้าว่า “พุทธฎีกา” น่าจะเอาแนวคิดมาจากหลักในกระบวนการยุติธรรมของไทยเราที่มีศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา คำตัดสินของศาลฎีกาถือเป็นที่สุดยุติเด็ดขาด

ในทางพระศาสนา เมื่ออ้างถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ซึ่งนับว่าเป็นที่สุดยุติเด็ดขาด จึงนิยมเรียกว่า “พุทธฎีกา”

คำว่า “พุทธฎีกา” ในภาษาไทยเป็นคำเก่า นิยมใช้ในสำนวนเทศนา เช่น “… มีพระพุทธฎีกาตรัสไว้ว่า …” “… จึงมีพระพุทธฎีกาว่า …” พระธรรมกถึกรุ่นเก่ายังใช้กันอยู่ แต่พระธรรมกถึกรุ่นใหม่และคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมสำนวนเทศน์แบบเก่า (อ้างว่า รุ่มร่าม เร่อร่า ล้าสมัย ไทยคำบาลีคำฟังไม่รู้เรื่อง) คงจะไม่ได้ใช้และไม่ได้ยินกันอีกแล้ว

เรียนรู้กันไว้อีกสักคำก็คงไม่เสียหลาย (เสียหลาย = เสียเปล่า เป็นคนละคำกับ “เสียหาย” เสียหลาย-ก็เป็นคำไทยเก่าอีกคำหนึ่งที่นับวันก็จะไม่มีใครพูด)

สักวันหนึ่ง ถ้าฝรั่งมาสอนภาษาไทยให้คนไทย และสอนคำว่า “พุทธฎีกา” จะได้ช่วยกันบอกฝรั่งว่า คำนี้สมัยหนึ่งไทยก็เคยสอนไทยด้วยกันไว้แล้ว

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ถ้าไทยไม่เรียนรู้คำไทย

: จะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานเรา

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *