ใครจะเป็นทนายจำเลย
ใครจะเป็นทนายจำเลย
————————-
เมื่อวานนี้ (๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ผมได้อ่านความเห็นในโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง มีข้อความดังนี้
………………
รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นคนพิการ คนแก่เดินขอทาน แล้วถูกสังคมรังเกียจ เป็นอยู่อย่างลำบาก
ในขณะที่อีกพวกโกนหัว ห่มเหลือง กลับได้ข้าวปลาเงินทองเต็มที่ แล้วกลับไปนอนสบายที่วัดง่ายๆ
………………
อยู่ในประเทศที่เราช่วยเหลือคนตาบอด คนพิการคนยากจนจำนวนมากที่พยายามหาเลี้ยงชีพไม่ได้
แต่เอากับข้าวกับปลาเอาเงินทองให้พวกหัวโล้นบางกลุ่มงอมืองอตีนยัดห่าใช้สอยกันอย่างเต็มอกเต็มใจเพราะหลงเชื่อคำตอแหลหลอกลวง
………………
(จบข้อความ)
—————
ความคิดเห็นนี้เป็นข้อกล่าวหาฉกรรจ์อยู่ จำเลยโดยตรงก็คือพระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนาในเมืองไทย
สรุปประเด็นข้อกล่าวหาก็คือ –
๑ พระสงฆ์สามเณรออกบิณฑบาตได้ข้าวปลาอาหารจากชาวบ้านแล้วก็กลับไปนอนสบายอยู่ในวัด ไม่ต้องทำอะไร
๒ พระสงฆ์สามเณรเป็นพวกงอมืองอเท้า ไม่ทำงาน เอาแต่กินสุขสบาย
๓ พระสงฆ์สามเณรโกหกตอแหลหลอกลวงชาวบ้าน (ไม่ได้ระบุประเด็น แต่โดยรวมแล้วเหมือนจะให้เข้าใจว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นการหลอกลวงชาวโลก เช่นบอกว่าให้ทำบุญกับพระแล้วจะได้ไปสวรรค์-ตีความว่าคงเจตนาจะว่าทำนองนี้)
………….
อนึ่ง ควรสังเกตและเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า ผู้กล่าวหาได้บอกไว้ด้วยแล้วว่าที่ว่านี้เขาหมายถึง “พวกหัวโล้นบางกลุ่ม”
ที่บอกอย่างนี้นับว่าเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง คือถ้าใครโต้ตอบกลับมา ก็แก้ตัวได้ว่า ไม่ได้ว่าพระสงฆ์สามเณรทั้งหมด พระสงฆ์สามเณรที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบยังมีอีกมาก ที่ว่านี้เขาหมายถึงพระสงฆ์สามเณรบางกลุ่มเท่านั้น
อย่างนี้ทางกฎหมายก็เอาผิดไม่ได้ แต่ได้ทำสมเจตนารมณ์ คือจริงๆ แล้วก็ตั้งใจจะด่าพระสงฆ์สามเณรนั่นเอง จะอ้างว่าบางกลุ่มหรือทั้งหมดก็ไม่มีผลต่างอะไร
แต่ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญขอให้ตั้งหลักกันที่-เมื่อมีข้อกล่าวหาเช่นนี้ จะแก้อย่างไร
เมื่อมีผู้กล่าวหาว่า พระสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนาไม่ทำงาน แต่ออกมาขอทานชาวบ้านกินเช่นนี้-จะแก้อย่างไร
………….
มีหลักฐานในคัมภีร์ที่แสดงไว้ว่า
๑ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา – การบวชมีวิธีดำรงชีวิตโดยอาศัยโภชนะคืออาหารแต่ละคำที่ได้มาด้วยปลีแข้ง”
“อาหารแต่ละคำที่ได้มาด้วยปลีแข้ง” ก็คือต้องออกบิณฑบาต
๒ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรกหลังจากตรัสรู้ แทนที่จะเสด็จไปเสวยในวังของพระพุทธบิดาหรือของพระญาติวงศ์ กลับทรงออกบิณฑบาต และตรัสว่า การออกบิณฑบาตเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้า
………….
ผู้กล่าวหาจะทราบความข้อนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ข้อกล่าวหานี้ก็เท่ากับล้มล้างคำตรัสของพระพุทธเจ้าตรงๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บวชแล้วต้องออกบิณฑบาต
ข้อกล่าวหาบอกว่า การออกบิณฑบาตเป็นการงอมืองอเท้า (ไม่ต้องทำงาน ขอชาวบ้านกิน)
ท่านผู้ใดจะรับเป็นทนายให้จำเลยบ้าง?
——————–
ตามเป็นจริง ผู้ที่ควรออกมาตอบเรื่องนี้คือพระสงฆ์สามเณร เพราะเป็นผู้เสียหายโดยตรง
ผมไม่ทราบว่าพระสงฆ์สามเณรท่านจะเดือดร้อนกับคำกล่าวหานี้หรือไม่
เคยได้ฟังบางท่านเมื่อเห็นคำกล่าวหาทำนองนี้ก็จะตอบว่า ไม่จำเป็นต้องไปสนใจกับคนพวกนี้ มันนึกอยากจะด่าพระมันก็ด่า ถ้าไปคอยเก็บมาคิดทุกเรื่องก็ไม่ต้องทำอะไรกัน
ผมก็เรียนไปว่า คนที่คิดแบบนี้ไม่ใช่มีคนเดียวสองคน และคนที่เห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ก็มีมาก..
ท่านก็สวนกลับแบบไม่รอให้พูดจบว่า จะต้องไปกังวลอะไรกับคนพวกนี้ ศาสนาไม่ได้อยู่ได้ด้วยคนพวกนี้ พวกนี้มันเคยใส่บาตรมั่งหรือเปล่า คนที่เขาเข้าใจดียังมีอีกเยอะแยะไป …..
แนวคิดแบบนี้ ผมว่าอันตรายพอๆ กับแนวคิดของท่านจำพวกตั้งข้อกล่าวหานั่นแหละ
การอธิบายให้เขาเข้าใจความจริงคือหน้าที่ของเรา
ข้อกล่าวหาเช่นนี้นับเข้าในพวกที่เรียกว่า “ปรัปวาท” (ปะ-รับ-ปะ-วาด) (disputation with another, challenge, opposition in teaching)
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
“ปรัปวาท : คำกล่าวของคนพวกอื่นหรือลัทธิอื่น, คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอื่น, หลักการของฝ่ายอื่น, ลัทธิภายนอก; คำสอนที่คลาดเคลื่อนหรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น.”
พระพุทธองค์ตรัสถึงคุณสมบัติของพุทธสาวกข้อหนึ่งว่า –
อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติ
แปลว่า-แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปวาทที่เกิดขึ้นได้โดยสหธรรมเรียบร้อย
“โดยสหธรรมเรียบร้อย” (สหธมฺเมน) หมายถึง ไม่เกะกะก้าวร้าว แบบเอ็งแรงมาข้าก็แรงไป แต่พูดกันดีๆ ด้วยเหตุด้วยผล มุ่งความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมีไมตรีจิตต่อกันเป็นเบื้องหน้า
ถ้ามองในแง่ดี ข้อกล่าวหานี้ก็คือคำเตือนสติพระสงฆ์สามเณรว่า ฉันข้าวชาวบ้านแล้วอย่าเอาแต่เสพสุข แต่ต้องทำกิจของสงฆ์ คือ (๑) ต้องทำกิจด้วย และ (๒) กิจที่ทำต้องเป็นกิจของสงฆ์ด้วย ไม่ใช่กิจนอกเรื่อง
เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องช่วยกันหาคำตอบเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว ก็ควรถือเป็นโอกาสตักเตือนตัวเองให้ดำรงมั่นคงอยู่ในหน้าที่ของสงฆ์ด้วยอีกส่วนหนึ่ง
…………
ขออนุญาตร้องถามมา ณ ที่นี้อีกครั้งว่า –
ท่านผู้ใดจะรับเป็นทนายให้จำเลยบ้าง?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
๑๓:๒๘
…………………………….