รู้ทันภาษาเพื่อรักษาพระศาสนา
รู้ทันภาษาเพื่อรักษาพระศาสนา
——————————-
อ่านหนังสือเก่าๆ เราจะพบเห็นข้อความสำนวนหนึ่งว่า –
……………………………………..
— บำเพ็ญทานศีลภาวนาไปจนกราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน —
……………………………………..
ถ้าอ่านตามที่ตาเห็น คนสมัยนี้จะนึกภาพออกมาเป็น-ใครคนหนึ่งกำลังก้มกราบลงไปแทบเท้าของผู้ที่ตนเคารพนับถือเพื่ออำลาไปสู่นิพพาน-ซึ่งอาจจะตีความว่า-คือลาตาย
แล้วอาจจินตนาการต่อไปว่า-ก็คงแบบเดียวกับกรณีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือผู้มีฐานันดรศักดิ์ใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตลง ญาติจะต้องทำหนังสือกราบถวายบังคมลาถึงแก่ … (ตามฐานะของผู้ตาย เช่นถึงแก่อสัญกรรมเป็นต้น) ไปถึงพระมหากษัตริย์
พูดภาษาชาวบ้านก็ว่า แม้จะตายก็ต้องทำหนังสือขอลาตาย
“กราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน” มีความหมายเช่นว่านี้ ใช่หรือไม่?
ตอบว่า มิใช่เช่นนั้นเลย
ถ้ารู้หลักที่ไปที่มา ก็จะเข้าใจภาษาเดิมได้ถูกต้อง
ภาษาเดิมคำนี้มาจากสำนวนบาลีว่า “ยาว นิพฺพานํ” (ยา-วะ นิบ-พา-นัง) แปลตามศัพท์ว่า “ตราบเท่าพระนิพพาน” หมายถึง จนกว่าจะบรรลุพระนิพพาน
หมายความว่า ผู้นับถือพระพุทธศาสนาได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะบรรลุพระนิพพานอันเป็นเป้าหมายในพระพุทธศาสนา
เมื่อบรรลุพระนิพพานแล้วก็เป็นอันว่าจบ สำนวนบาลีว่า “จบพรหมจรรย์” (วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ) หรือ “เสร็จกิจ” (กตํ กรณียํ) ไม่ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อจะบรรลุอะไรอีก ทำสิ่งที่ควรทำไปตามควรตามหน้าที่จนกว่าจะหมดอายุ
คำว่า “ตราบ..” โบราณออกเสียงเป็น “กราบ..” ทำนองเดียวกับคำ ต เต่า อื่นๆ อีกหลายคำ เช่น –
ผ้าไตร = ผ้าไกร
ไตรปิฎก = ไกรปิฎก
ตรอก = กรอก
จำตรวน = จำกรวน
ตรมตรอม = กรมกรอม
ดังนั้น “ตราบเท่า” จึงเป็น “กราบเท่า”
“ตราบเท่าพระนิพพาน” จึงเป็น “กราบเท่าพระนิพพาน”
ต่อจาก “กราบเท่า” คำไทยคำนี้ก็งอกออกไปอีกตามวิสัยคนไทยที่ชอบต่อเติมดัดแปลง “กราบเท่าพระนิพพาน” แปลงและขยายออกเป็น “กราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน”
ภาษาเดิมบอกแค่ “ตราบเท่าพระนิพพาน” คือ “ยาว นิพฺพานํ” = จนกว่าจะบรรลุพระนิพพาน
ไม่ได้บอกว่าไป “กราบเท้า” ใครใดทั้งสิ้น
……………………………………
เรื่องนี้จึงเป็นคติเตือนใจว่า คำเก่า ภาษาเก่า ถ้าไม่ศึกษาสอบสวนให้ถ้วนทั่ว เอาแต่ความเข้าใจแบบสมัยใหม่เข้าไปจับท่าเดียว ก็จะเป็นเหตุให้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้มาก
แล้วถ้าเอาความเข้าใจคลาดเคลื่อนนั้นไปบอกกล่าวเผยแพร่ต่อไปอีก-ดังที่สมัยนี้มีช่องทางทำได้ง่ายและแพร่หลายได้มากได้เร็ว-ความคลาดเคลื่อนนั้นก็จะระบาดออกไปจนถึงขั้น-ทำลายความหมายเดิม และก่อความหมายใหม่ขึ้นมาแทน
……………………………………
ตัวอย่างเช่นคำว่า “แกง” ในภาษาไทย เดิมแท้ๆ นั้นหมายถึง “กับข้าว” ทุกชนิดบรรดาที่กินพร้อมกับ “ข้าว” เราเรียกว่า “แกง” ทั้งหมด ดังคำว่า “ข้าวหม้อแกงหม้อ” ซึ่งหมายถึง ข้าวหม้อหนึ่งและกับข้าวอีกหม้อหนึ่งหรือกับข้าวอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ (นิยมพูดในกรณีบอกบุญขอให้ชาวบ้านนำอาหารบ้านละอย่างสองอย่างไปเลี้ยงคนที่มาชุมมุมช่วยงานกันในวัดเนื่องจากวัดไม่ได้ตั้งโรงครัว)
กรณีเช่นว่านี้ ใครอายุมากหน่อยคงยืนยันได้ เราเคยพูดกันว่า “ขอข้าวหม้อแกงหม้อ”
แต่ตกมาถึงวันนี้ เพราะไม่ศึกษาและรักษาความหมายเดิมไว้ให้มั่นคง คำว่า “แกง” เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่าหมายถึง “กับข้าวประเภทที่เป็นนํ้า มีชื่อต่าง ๆ ตามวิธีปรุงและเครื่องปรุง เช่น แกงจืด แกงเผ็ด แกงส้ม” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยฯ) เท่านั้น
ถ้าไม่ใช่ “กับข้าวประเภทที่เป็นนํ้า” จะเรียกว่า “แกง” ไม่ได้ ใครไปเรียกเข้าถือว่าไม่รู้เรื่อง กลายเป็นผิดไป
คำว่า “กราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน” นี่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ศึกษา สืบสวน สืบทอดกันให้ดี คนรุ่นใหม่จะเข้าใจความหมายแบบเข้ารกเข้าพงไปคนละเรื่องได้แน่ๆ
อนึ่ง ขออนุญาตดักคอไว้ก่อนว่า เรื่องแบบนี้ขอกรุณาอย่ามาชวนให้คิดว่า-ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แต่ควรชวนกันให้รู้เท่าและรู้ทัน โดยเฉพาะคือรู้ว่าควรทำอะไรอย่างไร
มิเช่นนั้นเราจะถูกแนวคิด “ทุกอย่างเป็นอนิจจัง” ครอบงำจนไม่คิดจะทำอะไร ไม่คิดจะแก้ปัญหาอะไร ในที่สุดก็เลยทำอะไรไม่เป็น นอกจากท่องคาถา “ทุกอย่างเป็นอนิจจัง” ลอยตามน้ำไปวันๆ จนไม่เหลืออะไรที่เป็นสมบัติของตัวเอง-รวมทั้งพระศาสนาที่ตนนับถือนั่นเองด้วย
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๐ มกราคม ๒๕๖๕
๑๗:๔๔
……………………………………….
รู้ทันภาษาเพื่อรักษาพระศาสนา