จาก ม.๗ ถึงนายกรัฐมนตรีไทย-ถ้าไม่ใช่พุทธ
จาก ม.๗
———-
ถึงนายกรัฐมนตรีไทย-ถ้าไม่ใช่พุทธ
———-
เมื่อวาน (๑๗ มกราคม ๒๕๕๙) ผมมีภารกิจทางสังคมที่จะต้องปฏิบัตินอกบ้าน เสร็จกิจแล้วได้สนทนากับเพื่อนร่วมทางระหว่างนั่งรถกลับบ้านถึงเรื่องสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชซึ่งกำลังมีกรณีเยื้องแย้งกันอุตลุดอยู่ในขณะนี้
เพื่อนร่วมทางเสนอให้ศึกษามาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕
………..
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ฉบับเดิม มาตรา ๗ บัญญัติไว้สั้นๆ ว่า
—————
“พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช”
—————
ไม่ได้บอกวิธีสถาปนาว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ใครจะเป็นผู้เริ่มต้น
ผมเข้าใจว่า ขั้นตอนก็คือ เมื่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระมหากษัตริย์ก็จะตรัสสั่งลงมาว่ามีพระราชประสงค์จะทรงสถาปนาพระภิกษุรูปใดให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงจะไปดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ตามแบบธรรมเนียม ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ต่อไป
นี่คือที่พูดกันว่า การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ครั้นต่อมา ถึงปี ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ มาตรา ๗ ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ ข้อความเป็นดังนี้ –
—————
มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
—————
กรุณาอ่านอย่างน้อยสัก ๒ เที่ยว
จะเห็นว่า มาตรา ๗ ที่แก้ไขใหม่นี้บอกไว้ค่อนข้างชัดเจน คือ
๑ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชได้เพียงองค์หนึ่ง นั่นคือคณะสงฆ์ไทยจะมีสมเด็จพระสังฆราชในเวลาเดียวกันมากกว่าองค์หนึ่งไม่ได้
๒ ขั้นตอนในการดำเนินการเริ่มต้นด้วย-นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ – หมายความว่า
(๑) ใครอื่นจะเป็นผู้เสนอไม่ได้ แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเสนอ ผู้เสนอได้มีนายกรัฐมนตรีคนเดียว
(๒) นามที่ถูกเสนอจะเป็นพระภิกษุทั่วๆ ไปไม่ได้ ต้องเป็นพระภิกษุที่ดำรงสมณศักดิ์ “สมเด็จพระราชาคณะ” เท่านั้น
(๓) แม้ในหมู่สมเด็จพระราชาคณะนั่นเอง จะเสนอรูปไหนตามความพอใจก็ไม่ได้ ต้องเสนอเฉพาะสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด
(๔) และสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด ต้องสูงสุดโดยสมณศักดิ์ คือได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะก่อน ไม่ใช่สูงสุดโดยพรรษา คือบวชก่อน (ตามหลักพระธรรมวินัย ภิกษุเคารพกันตามลำดับพรรษา คือผู้บวชทีหลังเคารพผู้บวชก่อน)
(๔) นายกรัฐมนตรีต้องเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าวนั้นไปให้มหาเถรสมาคมพิจารณาก่อน ไม่ใช่นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยตรง
(๕) เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นชอบด้วยแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อไป
—————
ชัดเจนแล้วนะครับว่า ขั้นตอนของการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชต้องทำอย่างไร
ขอความกรุณานำไปตรวจสอบกับพฤติการณ์-เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงว่า –
ใครทำอะไรไปแล้วอย่างไร
ถูกตามขั้นตอนหรือผิดขั้นตอน
รวมทั้งประเด็นที่ว่ากฎหมายข้อนี้ไปขัดหรือแย้งกับกฎหมายข้อไหนบ้างหรือไม่
ตรวจสอบกับหลักการแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ และกำหนดท่าทีของตนเองได้ถูกว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร หรือแม้กระทั้งควรหรือไม่ควรที่จะแสดงความเห็นว่าอย่างไร
—————
ประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนก็คือ –
๑ นายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะภายในเวลาไหน คือตั้งแต่เมื่อไรถึงเมื่อไร (บางกรณี กฎหมายจะกำหนดเงื่อนเวลาไว้ชัดเจน)
๒ ถ้าเกิดนายกรัฐมนตรีไม่เสนอ จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปจะให้ใครทำอย่างไร
๓ เสนอไปแล้ว (ตามขั้นตอนข้างต้น) ถ้ามหาเถรสมาคมไม่เห็นชอบ จะต้องทำอย่างไร
๔ เสนอไปแล้ว ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย คือไม่ทรงประกาศสถาปนา จะต้องทำอย่างไร
ประเด็นเหล่านี้ อาจจะมีข้อกำหนดไว้แล้วก็ได้
ขอแรงญาติมิตรที่ทราบเรื่องกรุณานำข้อมูล (ถ้ามี) มาเสนอสู่กันฟังด้วยครับ
—————
ทั้งหมดที่เขียนมานี้มิได้มีความประสงค์จะทะเลาะทุ่มเถียงกับใคร เพียงแต่นำข้อมูลมาวางไว้ให้ช่วยกันพิจารณาเท่านั้น
ผมเข้าใจว่าที่ทำกันมาแล้วและที่คิดจะทำกันต่อไป หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบหลักเกณฑ์และวิธีการที่ถูกต้อง
เป็นเหตุให้สนับสนุนหรือค้านแบบไม่มีฐานยืน
—————
แง่มุมที่ผมเกิดความคิดขึ้นมาในเวลานี้ก็คือ ในอนาคต ถ้านายกรัฐมนตรีไทยไม่ใช่ชาวพุทธ เช่นถ้านายกรัฐมนตรีเป็นมุสลิม แล้วมีกรณีที่จะต้องสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเกิดขึ้น – ภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไร?
จะพูดได้ไหมว่า สมเด็จพระสังฆราชแห่งคณะสงฆ์ไทยนั้นมุสลิมเป็นคนเสนอตั้ง?
หรือว่า-จะพูดเช่นนั้นไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่ได้เสนอในฐานะเป็นมุสลิม แต่เสนอในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี
แล้วถ้าเกิดนายกรัฐมนตรีมุสลิมท่านนั้น (ถ้ามี) ท่านอ้างว่า ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชขัดต่อหลักศาสนาของท่าน จะทำอย่างไร
หรือถ้าเกิดนายกรัฐมนตรีมุสลิมคิดไกลไปอีกว่า การมีคณะสงฆ์อยู่ในประเทศไทยขัดต่อหลักศาสนาของท่าน จะทำอย่างไร
ก็เหมือนกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว-กรณีที่นายอำเภอบางคนที่เป็นมุสลิม หรือรัฐมนตรีบางคนที่เป็นมุสลิม ท่านบอกว่า พระพุทธรูปอยู่ตรงนั้นขัดต่อหลักศาสนาของท่าน ท่านจึงสั่งให้เอาไปไว้ที่อื่น
ถ้าถ้าเกิดนายกรัฐมนตรีมุสลิม (ถ้ามี) ท่านสั่งให้เอาสมเด็จพระสังฆราชไปไว้ที่อื่น สั่งให้เอาคณะสงฆ์ไทยไปไว้ที่อื่น
จะทำอย่างไรกัน
ขอย้ำว่าผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดมิได้มีความประสงค์จะทะเลาะทุ่มเถียงกับใคร หรือต้องการจะเปิดประเด็นเพื่อให้แตกแยกใดๆ ทั้งสิ้น
ผมเพียงแต่ชวนให้คิดกันไว้ เพราะกรณีที่ว่านี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทยในไม่ช้าไม่นานอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไม่ต้องมานั่งงงว่าจะทำอย่างไรกันดี
ศึกษามาตรา ๗ แล้วคิดเบ็ดเสร็จไปถึงนายกรัฐมนตรี
เป็นหน้าที่ของเรา
ดีกว่ามัวแต่ไปเชียร์ฝ่ายนั้น ค้านฝ่ายนี้
ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของเรา
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๘ มกราคม ๒๕๕๙
๑๗:
———
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔
ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๘/หน้า ๑๓๙๑ – ๑๔๑๐/๑๔ ตุลาคม ๒๔๘
หมวด ๑
สมเด็จพระสังฆราช
มาตรา ๕ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
——–
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉบับเดิม
หมวด ๑
สมเด็จพระสังฆราช
มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉบับแก้ไข พ.ศ.๒๕๓๕
หมวด ๑
สมเด็จพระสังฆราช
มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบ
ของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
(มาตรา ๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕)
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว สมควรปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช การแต่งตั้งและถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุอำนาจหน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ของมหาเถรสมาคม การปกครอง การสละสมณเพศของคณะสงฆ์และคณะสงฆ์อื่น วัด การดูแลรักษาวัด ทรัพย์สินของวัด และศาสนสมบัติกลาง ตลอดจนปรับปรุงบทกำ หนดโทษให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงจำ เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้