ทางรอด
ทางรอด
——–
นานมาแล้วผมเคยอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง มีอยู่เรื่องหนึ่งในหนังสือนั้นเขียนเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่งโหนเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากหน้าผา บนหน้าผานั้นมีเสือตัวหนึ่งหมอบคอยอยู่ ด้านล่างเป็นแม่น้ำ มีจระเข้อ้าปากรออยู่
ภาพนี้ตรงกับคำพังเพยว่า “หนีเสือปะจระเข้”
แต่ที่สยองลึกก็คือ ที่ด้านบนของเถาวัลย์มีหนู ๒ ตัว ในหนังสือนั้นจำได้ว่าใช้คำว่า “หนูท้องขาว” ตัวหนึ่ง “หนูท้องดำ” ตัวหนึ่ง กำลังช่วยกันแทะเถาวัลย์อยู่อย่างเพลิดเพลิน
(ภาพประกอบที่เห็นนี้ไม่ใช่ภาพจากหนังสือที่ผมเอ่ยถึง แต่วาดจากแนวคิดเดียวกัน ภาพนี้ออกแนวการ์ตูน ภาพที่ผมว่านั่นเป็นแนวสมจริง)
มีคำบรรยายเป็นใจความว่า ชายคนนี้ไม่รอดแน่
ไต่ขึ้นข้างบน ก็โดนเสือขบ
หนีลงน้ำ ก็ถูกจระเข้งาบ
เกาะเถาวัลย์อยู่เฉยๆ ไม่นานหนูก็กัดเถาวัลย์ขาด
ญาติมิตรผู้มีสติปัญญาจะกรุณาลองคิดดูบ้างก็ดีนะครับ ถ้าเราเป็นชายคนนั้น เราจะทำอย่างไร
————-
ภาพที่ผมว่านี้เป็นภาพปริศนาธรรม
เสือกับจระเข้เป็นสัญลักษณ์แห่งสรรพภัยในสังสารวัฏ คือการเวียนตายเวียนเกิด
หนูท้องขาวหนูท้องดำ คือกลางวัน-กลางคืน หรือวันเดือนปีที่กลืนกินชีวิตของเราอยู่ทุกขณะ
ตราบใดที่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
ตราบนั้นก็ยังต้องเผชิญภัยเช่นนี้อยู่ร่ำไป
ทางรอดมีทางเดียว
คือต้องออกไปจากวังวนแห่งการเวียนตายเวียนเกิดให้ได้
————-
ผมนึกถึงภาพนี้ก็เพราะคิดคำนึงถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาในบ้านเราในเวลานี้
ผมเห็นว่า-พระพุทธศาสนาในบ้านเรากำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับชายคนนั้น
ด้านหนึ่ง ชาวพุทธในบางพื้นที่กำลังถูกทำร้ายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยที่ทางบ้านเมืองก็ปกป้องไม่ได้ทั้งหมด-เหมือนเสือ
ด้านหนึ่ง ต่างศาสนาที่อยู่ในทำเนียบศาสนาของคนในเมืองไทยก็กำลังเร่งขยายอิทธิพล ฉกฉวยทั้งผลประโยชน์และโอกาส รุกล้อม บีบคั้น เพื่อทำแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินแห่งศาสนาของเขาให้จงได้-เหมือนจระเข้
ข้างในศาสนาเองนั้นเล่า
ก็หมักหมม มัวหมอง ฟอนเฟะ หย่อนยาน ด้วยการประพฤติเหยียบย่ำพระธรรมวินัยไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ลัทธินอกพระพุทธศาสนาระบาดเข้าไปในวัดมากขึ้น โดยพระสงฆ์เป็นผู้นำเข้าไปเอง รวมทั้งกิจกรรม-กิจการที่จัดขึ้นเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ความขลัง หวังพึ่งพาการดลบันดาลของเทพเจ้าก็จัดขึ้นในวัดชุกชุมขึ้นทุกวันทุกคืน พร้อมไปกับทำคำสอนให้วิปริต บิดเบือน เกิดลัทธิพิธีกรรมแปลกๆ แทรกซึมเข้าไปในวัด จนไม่รู้ว่าไหนเป็นพุทธ ไหนเป็นไหน
ทำวัดให้กลายเป็นสถานประกอบการเพื่อหากำไร
เอาทรัพยากรในพระพุทธศาสนามาบริหารในเชิงธุรกิจแสวงหาความมั่งคั่ง
โดยที่ผู้บริหารการพระศาสนาต่างก็ปล่อยปละละเลย ไม่ได้เข้มงวด กวดขัน ตรวจสอบ ชำระสะสางให้บริสุทธิ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
สภาพเช่นนี้-เหมือนหนูท้องขาวหนูท้องดำที่กัดแทะเถาวัลย์ให้กร่อนเข้าไปทุกขณะ
————-
ท่านผู้รู้มองเห็นตรงกันว่า-กับผู้ที่กระทำร้ายต่อเรานั้น เราจะร้ายตอบมิได้ ถ้าเราร้ายตอบ ก็จะเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี หรือแทบจะไม่มีผลดีเลย และที่สำคัญก็คือเป็นการทำลายตัวเอง ทำลายหลักการของพระพุทธศาสนาที่ว่า อนูปวาโท-ไม่ว่าร้ายใคร อนูปฆาโต-ไม่ทำร้ายใคร
ภาษิตของศาสนาคริสต์ยังบอกว่า ถ้าเขาตบแก้มซ้าย ก็จงเอียงแก้มขวาให้เขาตบอีกข้างหนึ่ง
ในพระพุทธศาสนาเองก็บอกว่า คนที่ทำร้ายคนอื่นเป็นคนเลว
แต่คนที่ทำร้ายตอบเป็นคนที่เลวกว่า
เพราะฉะนั้น-ทำไม่ได้
อย่าว่าถึงขั้นทำ แม้แต่พูดก็ไม่ได้
ตัวอย่างก็เห็นกันแล้วสดๆ ไม่ต้องสาธยาย
พระพุทธศาสนาไม่ได้มีกองกำลังไว้ป้องกันตัว
เมื่อถูกทำร้าย จะทำอย่างไร
ส่วนมากผู้ที่เสนอแนะไม่ให้ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ก็ไม่ได้บอกให้ชัดๆ ว่า-แล้วจะให้ทำอย่างไร
ตามทางปฏิบัติ ท่านบอกว่าให้ “ขออารักขา”
ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนในสมัยนี้ที่เคยได้ยินคำนี้
คำนี้ท่านใช้อยู่ในพระวินัยปิฎกครับ
“ขออารักขา” หมายความว่าแจ้งให้ทางราชการบ้านเมืองเข้ามาจัดการคุ้มครองป้องกัน
ถ้าผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นสัมมาทิฐิ เอาใจใส่ ให้ความสำคัญ ก็คงพออยู่รอด
แต่ถ้าผู้ปกครองบ้านเมืองไม่เอาใจใส่ หรือไม่เห็นความสำคัญ หรือถ้าถึงกับเป็นมิจฉาทิฐิด้วยแล้ว พระพุทธศาสนาก็ไปไม่รอด
พูดกันด้วยใจเป็นธรรม ทางราชการก็ได้เข้าไป “อารักขา” พระสงฆ์และชาวพุทธในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามควรแก่เหตุแล้ว เช่นพระออกบิณฑบาตก็มีทหารตามไปคุ้มกันให้เป็นต้น
แต่ถ้าพูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่าอารักขาได้ไม่ทั่วถึง คุ้มครองตรงนี้ มัน-เอ๊ย-เขาก็ไปทำร้ายตรงโน้น คุ้มครองตรงโน้น ก็ไปทำร้ายตรงนั้น เหมือนเล่นเอาเถิด
คนคอยระวังย่อมเสียเปรียบคนคอยจ้องทำร้ายเสมอ-เป็นสัจธรรมที่เห็นกันอยู่
เอ็งไม่เผลอวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอ็งก็ต้องเผลอ
และเท่าที่ทำมา ก็เป็นการปฏิบัติแบบตั้งรับเท่านั้น แทบจะไม่มีการปฏิบัติในเชิงรุก
ถ้าว่ากันถึงระดับนโยบาย ก็ดูเหมือนว่าผู้ปกครองไม่ได้มีนโยบายที่จะจัดการปัญหานี้ให้เด็ดขาด
พวกที่ทำร้ายพระทำร้ายชาวพุทธเป็นใคร ทางราชการก็รู้
ใครหรือประเทศไหนเป็นผู้สนับสนุน ก็รู้กันทั้งนั้น
แต่ไม่มีนโยบายที่จะทำอะไรให้มันเด็ดขาดลงไป
พูดอย่างไม่เกรงใจก็คือ แก้ปัญหาไม่ได้ จะเป็นด้วยไม่ตั้งใจแก้ หรือเพราะจนปัญญาแก้ก็ไม่ทราบ
อนึ่ง เรื่องพระสงฆ์และชาวพุทธถูกทำร้ายนี้ พอพูดขึ้นก็มักจะมีเสียงคานขึ้นมาว่า คนมุสลิมก็ถูกทำร้าย
ถูกทำร้ายและตายมากกว่าชาวพุทธเสียอีก-เขาบอกอย่างนั้น
ก็เลยเหมือนกับจะบอกว่า ที่ชาวพุทธถูกฆ่าถูกทำร้ายนั้นไม่ควรเดือดร้อนใจหรือเห็นเป็นเรื่องแปลกอะไร
สรุปก็คือไม่ต้องทำอะไร อยู่กันไปเรื่อยๆ ถูกฆ่าถูกทำร้ายกันไปเรื่อยๆ เป็นการถูกต้องแล้ว
ที่ควรสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราจะไม่เคยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางตำหนิติเตียนพวกที่มาฆ่าพระฆ่าชาวพุทธ (รวมทั้งชาวมุสลิม-ตามที่ว่า) นั่นเลย ทั้งๆ ที่เราก็รู้กันว่าใครเป็นใคร
ดูราวกับว่าคนพวกนั้นมีสิทธิ์และมีความชอบธรรมที่จะมาเที่ยวฆ่าเที่ยวทำร้ายใครๆ ได้อย่างเสรี ผู้ที่ถูกฆ่าถูกทำร้ายมีหน้าที่อยู่นิ่งๆ ยอมให้พวกนั้นฆ่าและทำร้ายเสียดีๆ เท่านั้น
ใครขัดขืนหรือลุกขึ้นมาต่อสู้-อาจไม่ถึงขั้นต่อสู้ เพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น-ก็จะถูกประณามทันทีว่าเป็นคนชั่วช้าเลวทราม-ไม่ใช่จากใครเลย จากพวกเดียวกันนั่นเอง
ท่าทีแบบนี้ขอให้ช่วยสังเกตกันไว้ให้จงมาก
สรุปว่า เราเห็นตรงกันว่า จะเอาความรุนแรงเข้าตอบโต้ไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้บอก-หรือก็คือบอกไม่ได้-ว่า-แล้วจะให้ทำอย่างไรกัน
เรื่องก็มาตันอยู่ตรงนี้
————–
แต่จะว่าไม่มีใครบอกว่าควรจะทำอย่างไรไปเสียทั้งหมด ก็ไม่เชิง เพราะถ้าลองไปถามความเห็นเข้า ก็จะได้คำตอบอยู่เหมือนกัน
ลองอ่านความเห็นของท่านผู้นี้ดูนะครับ ท่านปรับทุกข์เรื่องนี้มากับผมโดยตรง
………..
แล้วจะทำอย่างไร เราต้องอดทนให้เขาทำฝ่ายเดียวงั้นหรือ ไม่ใช่เลย การที่เราตื่นตัวและตระหนักถึงการรุกคืบของศาสนาอิสลามนั้นเป็นการดี แต่การไปใช้ความรุนแรงตอบจะไม่ได้ผลสำหรับคนยุคนี้ สิ่งที่ทุกศาสนาต้องการคือศาสนิก สิ่งที่เราต้องทำคือ รักษาพุทธศาสนิกชนให้มีจำนวนไม่น้อยลง ด้วยการให้ปัญญา ความรู้ และขยายศาสนิก ด้วยการแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของธรรมะ ที่ทำให้เกิดปัญญาในการดำรงชีวิตอย่างรู้เท่าทัน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน จริงๆ ชาวพุทธที่เรามองว่าแค่ทะเบียนบ้าน ไม่รู้เรื่องราว เขาพร้อมจะเรียนรู้และเข้าในธรรมะ เพียงแต่รอผู้มีความรู้ มีการปฏิบัติดีมาแนะนำแค่นั้น หากพระสงฆ์ซึ่งเหมือนแม่ปูเดินเฉไปมา จะสอนลูกปูให้เดินตรง ลูกปูก็คงไม่เชื่อ แถมจะว่าแม่กลับอีก
………..
สรุปก็คือ
ต้องแก้ที่ตัวเราเอง คือพระสงฆ์ต้องประพฤติตนอยู่กรอบของพระธรรมวินัย
ต้องกำจัดพระที่ประพฤติไม่ดีออกไป
ต้องให้ความรู้ทางธรรมะแก่ประชาชนให้มากขึ้น
พูดเป็นภาพก็คือต้องล้างบ้านให้สะอาดก่อน
เวลานี้พระและวัดก็เหมือนบ้านที่สกปรกเลอะเทอะเต็มที
ถ้าล้างให้สะอาด ก็จะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของประชาชน
เมื่อประชาชนศรัทธาแล้วเขาก็จะเข้ามาช่วยอุปถัมภ์บำรุงและปกป้องไม่ให้มีใครมาทำอันตรายใดๆ
เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
แต่ถ้าถามว่า-แล้วจะเริ่มต้นกันตรงไหน และใครจะเป็นคนลงมือแก้
เราก็มาตันกันตรงนี้อีก
————–
ตอบตามหลักการก็ต้องบอกว่า องค์กรที่ทำหน้าที่บริหารกิจการพระศาสนานั่นแหละจะต้องรับผิดชอบ
องค์กรที่ใหญ่สุดในคณะสงฆ์ก็คือ มหาเถรสมาคม ถ้าชี้ไปที่ตัวบุคคลก็คือกรรมการมหาเถรสมาคม ถัดจากนั้นก็คือเจ้าคณะพระสังฆาธิการในระดับต่างๆ ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ
พระคุณท่านเหล่านี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
แต่ทำอย่างไรล่ะ-คือรับผิดชอบ
ตรงนี้แหละครับที่เป็นเรื่องใหญ่
และภูเขาลูกใหญ่มหึมาที่ขวางหน้าเราอยู่ก็คือ ท่านผู้รับผิดชอบท่านไม่ได้เห็นว่าจะต้องทำอะไรให้มากไปกว่าที่กำลังทำอยู่-ซึ่งก็คือไม่ต้องทำอะไร
เพราะท่านไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร ทุกวันนี้ก็สงบสุขดีอยู่แล้ว ประชาชนก็ยังมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันดีอยู่ ไม่เห็นจะต้องไปทำอะไรอีก
สรุปว่า ทั่วสังฆมณฑลมีแต่คนใส่เกียร์ว่าง
หันไปดูหน่วยงานอื่นๆ
ที่เป็นหลักก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หน่วยงานนี้มีสำนักงานประจำอยู่ในทุกจังหวัด ดูตามโครงสร้างก็น่าจะเป็นขุมกำลังมหาศาลที่จะทะลุทะลวงในการล้างวัดให้สะอาด และทำวัดให้เป็นศูนย์บัญชาการเพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้แก่คนในประเทศ
แต่ความจริงก็คือ-ว่างเปล่า
หน่วยงานแห่งนี้ว่ากันตามศักยภาพแล้ว สามารถขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาให้โลดแล่นไปในทิศทางที่ถูกต้องดีงาม-
ขจัดความน่าชัง
ปลูกฝังความน่าชม
-ได้อย่างดียิ่ง
แต่หน่วยงานแห่งนี้ทำหน้าที่เพียงหิ้วย่ามตามหลังพระเท่านั้น-เท่านั้นจริงๆ
สรุปว่า ทั้งพระ ทั้งลูกศิษย์พระ มีอาการเดียวกัน
ผู้บริหารการพระศาสนาไม่มีนโยบายที่เด่นชัดว่าจะพัฒนาพระศาสนาไปในทิศทางใด และจะแก้ปัญหาที่เผชิญหน้าอยู่ด้วยวิธีการอย่างไร พูดสั้นๆ ว่า ท่านใช้วิธีอยู่กันไปวันๆ ทำงาน routine ไปวันๆ เท่านั้น ไม่ได้เห็นว่ามีอะไรเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข
งานบางอย่างที่โฆษณากันเป็นโครงการโดดเด่น เช่น โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ก็ทำกันเป็นเหมือนงานการเมือง คือมีแต่สถิติ มีแต่ปริมาณ มีแต่ภาพผลงาน แต่ไม่มีคุณภาพที่เป็นจริง
ในขณะที่องค์กรใหญ่ใส่เกียร์ว่างตลอดเวลานั่นเอง การขยับขับเคลื่อนกิจกรรมกิจการในพระพุทธศาสนาก็กลายเป็นงานที่วัดและสำนักต่างๆ ทำกันไปโดยอิสระเสรี
แต่ไร้ทิศทาง
สำนักไหนวัดไหนจะสอนอะไร จะสอนอย่างไร จะผิดจะถูกอย่างไร เป็นไปอย่างอิสระที่สุด ปราศจากการกำกับดูแลจากองค์กรที่รับผิดชอบการพระศาสนาแทบจะโดยสิ้นเชิง
วัดส่วนใหญ่-หรือแทบทั้งหมด-มีสภาพเป็นเพียงที่อยู่ของพระสงฆ์ เป็นที่ทำกิจกรรมตามศรัทธาของชาวบ้านที่เคยทำกันมา แต่แทบจะไม่ได้ทำหน้าที่ปลูกฝังสติปัญญาให้แก่ประชาชนอย่างเข้มแข็งจริงจังแต่อย่างใดเลย
พูดกันตรงๆ วัดแทบทั้งหมดไม่ได้ทำหน้าที่สอนธรรมะแก่ประชาชน ไม่ต้องกล่าวถึงประชาชนทั่วไป แม้แต่คนรอบๆ วัดนั่นเอง
และแม้แต่พระเณรที่อยู่ในวัดนั้นเองแท้ๆ ก็แทบจะไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกันด้วยซ้ำไป
เท่าที่กล่าวมาฟังดูเหมือนกับผมกำลังตำหนิพระ ตำหนิวัด ตำหนิผู้ทำหน้าเกี่ยวกับการพระศาสนา ฟังดูเหมือนเป็นการสาวไส้ให้กากิน หรือขายพวกเดียวกันเอง
ผมไม่ได้มีเจตนาเช่นเลย เพียงแต่ต้องการชี้ให้เราเห็นความจริง และยอมรับกันเสียก่อนว่ามันเป็นความจริง
ในหลักอริยสัจสี่ ทุกขสัจ-ข้อแรก กิจที่จะต้องทำเป็นอันดับแรกสุดก็คือ ต้องยอมรับก่อนว่า “ทุกฺขํ อริยสจฺจํ = ทุกข์เป็นความจริง”
หมายความว่า เมื่อจะลงมือแก้ปัญหา ( = ทุกข์) จะต้องยอมรับก่อนว่า สิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นเป็นทุกข์จริง คือยอมรับเสียก่อนว่ามันเป็นปัญหาจริง
การที่ผู้บริหารการพระศาสนาพากันใส่เกียร์ว่าง ไม่คิดจะแก้ปัญหา ก็มีมูลฐานมาจากการที่มองไม่เห็น หรือไม่ยอมรับว่ามันมีปัญหานี่เอง
อุปมาเหมือนคนไม่รู้ว่าไฟกำลังไหม้บ้าน ก็นอนเฉยอยู่
แต่ถ้ารู้ว่าไฟกำลังไหม้บ้าน ก็จะไม่นอนนิ่งเฉยอย่างแน่นอน
ขณะนี้ การพระศาสนาของเรากำลังมาหยุดอยู่ ณ ที่ตรงนี้-ตรงที่ผู้บริหารท่านกำลังนอนนิ่งเฉยอยู่
ก็คือท่านเห็นว่า การที่หนูท้องขาวกับหนูท้องดำกำลังแทะเถาวัลย์ที่ท่านโหนอยู่นั้นมันไม่ใช่ปัญหาอะไรตรงไหนเลย
นี่แหละครับที่ผมว่าไว้ข้างต้นโน้นว่า คิดคำนึงถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาในบ้านเราในเวลานี้แล้วก็คิดถึงภาพปริศนาธรรม-ภาพชายที่กำลังโหนเถาวัลย์
ไต่ขึ้นข้างบน ก็โดนเสือขบ
หนีลงน้ำ ก็ถูกจระเข้งาบ
เกาะเถาวัลย์อยู่เฉยๆ ไม่นานหนูก็กัดเถาวัลย์ขาด
————–
ถ้าเมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ท่านผู้บริหารการพระศาสนายังคิดว่า-คุณว่าเป็นปัญหา มันก็เป็นเพียงความเห็นของคุณ แต่ฉันเห็นว่าที่คุณว่ามานั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะฉะนั้นที่ฉันอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรนี่แหละฉันเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้- (และคาดว่าจะต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ) – ก็จบ
จบ คือก็เลิกพูดกัน ก็คือต่อไปนี้ก็ตัวใครตัวมัน
ตัวใครตัวมันก็คือ-ใครมีสติปัญญาคิดอะไรได้ ก็เชิญคิดกันไปเถิด ใครสามารถทำอะไรได้ก็ทำกันไปเถิด ไม่ต้องไปพูดอะไรกับพวกท่านเหล่านั้นอีกแล้ว
ท่านผู้ใดรักและห่วงพระศาสนา หากมีสติปัญญาดี ก็ขอได้โปรดพิจารณาดูด้วยว่ามีทางใดบ้างที่พระพุทธศาสนาในบ้านเราจะอยู่รอดไปอย่างบริสุทธิ์สะอาด
ถ้าเห็นทางนั้นแล้ว ก็ขอได้โปรดแนะนำและดำเนินนำไปโดยด่วนด้วยเถิด
————–
สถานการณ์พระพุทธศาสนาในบ้านเราเวลานี้คงพอเทียบได้กับในชมพูทวีปสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอันเป็นยุคที่ลัทธิภายนอกแอบแฝงเข้ามาเกาะกินอย่างหนัก
แต่ด้วยความเด็ดขาดของพระเจ้าอโศก จึงชำระสะสางได้เรียบร้อยทำให้พระศาสนาสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาได้อีก
ปัญหาของเราต้องได้ผู้นำที่มีบารมีเหมือนพระเจ้าอโศกกลับมาเกิดจึงจะแก้ไขได้
แต่พระเจ้าอโศกท่านคงไม่มาเกิดในเมืองไทยเป็นแน่
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้องรอพระเจ้าอโศก ทั้งไม่ต้องไปรอไม่ต้องไปหวังให้ผู้บริหารการพระศาสนาท่านลงมือทำอะไร หรือจะมีใครมาช่วยเรา
เราแต่ละคนนี่แหละต้องทำกันเองและลงมือทำกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยตามความสามารถที่เรามีกันอยู่
ในส่วนตัวผม ผมยึดหลัก –
๏ ศึกษาเล่าเรียน
๏ พากเพียรปฏิบัติ
๏ เคร่งครัดบำรุง
๏ มุ่งหน้าเผยแผ่
๏ แก้ไขให้หมดจด
หลักนี้ผมถอดความมาจากพระพุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตร
ขออนุญาตขยายความสั้นๆ
๏ ศึกษาเล่าเรียน
ค้นคว้าอ่านเขียนเรียนพระธรรมสม่ำเสมอ อันไหนเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อันไหนไม่ใช่ อย่าคิดเป็นอันขาดว่ารู้แล้ว
๏ พากเพียรปฏิบัติ
อย่าเรียนเพื่อรู้อย่างเดียว ลงมือปฏิบัติด้วย คุณธรรมใดๆ ที่ยังไม่มีในตน ขวนขวายบำเพ็ญให้เกิดมี ที่มีแล้วทำให้มีมากยิ่งๆ ขึ้นไป
๏ เคร่งครัดบำรุง
จะดีจะชั่วอย่างไร อย่าทิ้งวัด อย่าทิ้งพระ อย่าเอาความบกพร่องของท่านมาทำให้เราบกพร่องต่อหน้าที่ของเราไปอีกคนหนึ่ง ถ้าพวกเราไม่ดูแลกันเอง แล้วจะหวังให้ใครเขาเห็นใจ คนเก่าท่านสอนว่า ถ้าไม่ศรัทธาที่จะไหว้พระ ก็ขอให้มีศรัทธาที่จะไหว้ผ้าเหลืองอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์
๏ มุ่งหน้าเผยแผ่
ช่วยกันประกาศพระธรรมวินัยที่ถูกต้องทุกโอกาสทุกช่องทางที่สามารถทำได้ แนะนำสั่งสอนคนในครอบครัว ขยายไปถึงญาติมิตรในวงกว้างออกไป นั่นหมายถึงว่าต้องหาความรู้ไว้ให้พอด้วย
๏ แก้ไขให้หมดจด
ใครสอนผิด พูดผิด และประพฤติผิดต่อพระรัตนตรัย อย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยคิดว่าไม่ใช่ธุระที่จะไปทักท้วงชี้แจง ตรงกันข้าม ต้องถือว่าเป็นธุระโดยตรงที่จะต้องช่วยกันแก้ไข
หลักนี้น่าจะเหมาะกับนิสัยของคนไทยที่ไม่ถนัดการทำงานเป็นทีม ทั้งนี้เพราะเป็นหลักการที่แต่ละคนสามารถปฏิบัติได้ตามลำพัง ไม่จำเป็นต้องร่วมทีมกับใครถ้าไม่ถนัด แต่ใครถนัดที่จะทำเป็นทีมได้ก็ยิ่งดี
ผมเชื่อว่า ถ้าเราทำหน้าที่ของชาวพุทธตามหลักการดังกล่าวนี้เรื่อยไป ไม่หยุด ไม่เลิก อย่างน้อยกว่าหนูท้องขาวหนูท้องดำจะกัดเถาวัลย์ขาด เราก็คงทำที่พึ่งอันเกษมให้แก่ตัวเองได้บ้างตามสัตติกำลังของแต่ละคน
ถ้าเห็นทางรอดแล้ว ก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน
และลงมือทำงานสำคัญเดี๋ยวนี้เลยนะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘
๑๑:๐๒
…………………………….