พระพุทธเจ้าน้อย (บาลีวันละคำ 345)
พระพุทธเจ้าน้อย
(คำเรียกผิด)
มีผู้พูดถึง “พระพุทธเจ้าน้อย” รูปที่ประกอบคำเรียกเป็นรูปเด็ก แต่มีลักษณะที่รู้ได้ว่าเป็นพระพุทธรูป ทำให้มีผู้เข้าใจว่าเด็กนั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเรียกว่า “พระพุทธเจ้าน้อย”
การเรียกขานพระพุทธเจ้า ท่านมีหลักดังนี้ –
1 ในพระชาติที่กำลังบำเพ็ญบารมี หลังจากตั้งความปรารถนาพุทธภูมิในชาติที่เป็นสุเมธดาบสเป็นต้นมา จนถึงเป็นพระเวสสันดรเป็นชาติสุดท้าย ท่านเรียกว่า “พระโพธิสัตว์” (โพธิสตฺต)
2 ตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งอภิเษกสมรส ท่านเรียกว่า “พระกุมาร” (กุมาร)
3 ตั้งแต่อภิเษกแล้วจนเสด็จออกบรรพชา ท่านเรียกว่า “เจ้าชาย” (ราชกุมาร)
4 ตั้งแต่เสด็จออกบรรพชาจนได้ตรัสรู้ ท่านเรียกว่า “พระมหาบุรุษ” (มหาปุริส)
5 คำเรียกที่ใช้เป็นกลางๆ ตั้งแต่ประสูติจนถึงก่อนตรัสรู้คือ “พระมหาสัตว์” (มหาสตฺต = บุคคลผู้ยิ่งใหญ่) และ “พระมหาบุรุษ” (มหาปุริส = บุรุษผู้ยิ่งใหญ่)
6 ตั้งแต่ตรัสรู้แล้วเป็นต้นไป ท่านจึงเรียกว่า “พระพุทธเจ้า” (พุทฺธ) และเรียกด้วยพระคุณนามอื่นๆ อีก เช่น “พระศาสดา (สตฺถา) “พระผู้มีพระภาค”(ภควา) “พระสัพพัญญู” (สพฺพญฺญู) “พระพิชิตมาร” (วิชิตมาร) เป็นต้น
ข้อเท็จจริงที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องคือ ตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งก่อนตรัสรู้ ท่านยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
“พระพุทธเจ้าน้อย” : สิ่งบอกเหตุว่า โรคอ่อนประวัติศาสตร์ กำลังระบาดในหมู่ชาวพุทธ
บาลีวันละคำ (345)
22-4-56
พระพิชิตมาร (วิชิตมาร)
ปรมัตถทีปนี อรรถกถาอุทาน (มหาตัณหาสังขยสูตร) หน้า ๕๖๓
ตํ ธีรํ พนฺธนา มุตฺตนฺติ ตํ จตุพฺพิธสมฺมปฺปธานวีริยโยเคน วิชิตมารตฺตา ธีรํ ตโต เอว สพฺพกิเลสาภิสงฺขารพนฺธนโต มุตฺตํ ฯ
ปรมัตถทีปนี ภาค ๒ อรรถกถาเถรคาถา (วังคีสเถรคาถา) หน้า ๘๔๘
วิชิตสงฺคามนฺติ วิชิตกิเลสสงฺคามตฺตา วิชิตมารพลตฺตา วิชิตสงฺคาม ฯ
มธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ (ปทุมุตตร) หน้า ๓๔๗
ตโต กปฺเปสุ จ อสงฺเขฺยยฺเยสุ วีติวตฺเตสุ
อิโต กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก เอกสฺมึ กปฺเป เอโก วิชิตมาโร
โอหิตภาโร เมรุสาโร อสสาโร สตฺตสาโร สพฺพโลกุตฺตโร
ปทุมุตฺตโร นาม พุทฺโธ โลเก อุทปาทิ ฯ
พระพุทธเจ้าน้อย
จำนวนคนอ่านล่าสุด 1188 คน วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8144 ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์ สถาปัตยกรรมไทย
ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์
พระพุทธเจ้าน้อยที่ปรากฏอยู่นี้ “ไม่ใช่พระพุทธรูป” และไม่เป็นพระพุทธรูปปางใด แต่เป็นปฏิมากรที่เกี่ยวข้องกับประวัติพระพุทธเจ้า ตั้งชื่อเรียกขานกันเต็มๆ ว่า “พระโพธิสัตว์ราชกุมาร” ซึ่งในความจริงยังไม่เป็นพระโพธิ สัตว์ เพราะการจะเป็นพระโพธิสัตว์ต้องผ่านกระบวนทางจิตใจและการอุทิศตัวเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก ยังมีอีกหลาย ขั้นตอนที่จะขอกล่าวถึงในตอนข้างหน้า
แต่เหตุที่นำเรื่องนี้มาเขียนแลกเปลี่ยนความรู้ ความเห็น ก็เพื่อเสริมสร้างสติปัญญา ได้เคยกล่าวมาแล้วว่าพระพุทธรูปปางต่างๆ ก็คือ การเล่าถึงพุทธประวัติ ในการแสดงธรรมะในเรื่องสำคัญในแต่ละเหตุการณ์ ใช้การแสดงออกที่เป็นคติและสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนได้เตือนตนและเข้าใจเข้าถึงคติแห่งธรรมที่พระพุทธรูปนั้นได้แสดงออกมา
ที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าน้อยนั้น ไม่อาจนับเป็นพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์ได้ เพราะยังมิได้เป็นทั้งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
หากแต่สัญลักษณ์ของรูปที่เป็นเด็กชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า บ่งบอกเพียงตำนานในพระพุทธประวัติว่า เมื่อ สิทธัตถะกุมาร กำเนิดขึ้นนั้นได้ก้าวเดินบนดอกบัวไป 7 ก้าว ซึ่งมีผู้แปลความหมายไปว่าเป็นการก้าวเดินของพระ พุทธเจ้าไปยัง 7 แคว้นนคร เพื่อแสดงธรรมและเปล่งวาจาว่าเราเป็นเลิศในโลกนี้ เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็น ผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มี ซึ่งเป็นเรื่อง “อภินิหาร” ไม่เกี่ยวข้องกับการแสดงธรรมแต่ประการใด
ความพยายามที่จะอธิบายต่อว่า พระพุทธเจ้าน้อยจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการเตือนสติมนุษย์ ให้หันกลับมาทบทวนถึงเป้าหมายชีวิตของตัวเองในภาพรวมว่า เกิดมาทำไม จุดหมาย อันประเสริฐของชีวิตที่มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้คืออะไร และการร่วมหล่อองค์พระพุทธเจ้าน้อยจึงมีนัยแห่งความหมายอีกประการของการหลอมรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเตือนสติคนไทยให้หันมาทบทวนถึงการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมต่างๆ อันจัก เป็นแก่นสารของชีวิตที่ติดตัวเราไปก่อนลาจากโลกนี้ อีกด้วย
จึงเป็นการพยายาม “ลากความเข้าเรื่อง” ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้แสดงเพื่อประโยชน์สุขของสัตว์โลกแต่ประการใด
ในฐานะพุทธศาสนิกชนฝ่ายเถรวาท ไม่ปรารถนาเห็นอะไรที่งอกเงยความเชื่อในพุทธศาสนาที่ปิดกั้นความจริงทางปัญญา
หน้า 5
ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdNakUzTURNMU5nPT0=