นาง
นาง
—-
เมื่อวันพุธที่ ๑๑ มีนาคม ผมทำหน้าที่คนขับรถพาอาจารย์ที่บ้านไปตรวจความผิดปกติของดวงตาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว
โรงพยาบาลบ้านแพ้วเป็นโรงพยาบาลนอกระบบ
โรงพยาบาลนอกระบบคืออย่างไรผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร เคยมีคนบอกให้ฟังว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของ มีระบบบริหารงานที่คล่องตัว คุณภาพการดูแลรักษาดีเยี่ยม บริการทุกระดับคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้มารับบริการเป็นที่ตั้ง หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกระดับใช้หลัก-ทำงานมาก รายได้ยิ่งมาก บริการดี ยิ่งได้รับผลตอบแทนดี-
อาจารย์ที่บ้านผมเคยไปเยี่ยมเพื่อนร่วมสถาบันที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่น กลับมาคุยว่า ห้องพักผู้ป่วยเหมือนโรงแรมชั้นหนึ่ง !
ระบบบัตรคิว ไปถึงโรงพยาบาลตีสี่ นั่งรอคิวครึ่งวัน หมอตรวจสามนาที กลับถึงบ้านสี่ทุ่ม แบบโรงพบาลของรัฐทั่วไป-ที่นี่ไม่มี ว่ากันอย่างนั้น
เท็จจริงอย่างไร ไม่ประจักษ์
ผมอยากไปลองดูเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรก็ไม่ป่วยสักที หู ตา คอ จมูก เข่า ข้อ ปอด ตับ หัวใจ ฯลฯ ยังทำงานเป็นปกติสุขดีอยู่
จะใช้งานไม่ได้ก็มีแต่ฟัน แต่ไม่เคยเป็นอุปสรรคในการดำรงชีพ หรือการสื่อสารทางเสียง
ลูกสะใภ้ผมเป็นหมอฟันครับ
ได้ยินว่าเธอกำลังกัดฟันกรอดๆ ว่าทำอย่างไรจึงจะจับพ่อของสามีไปเลาะฟันที่เหลือให้หมดปากได้เสียที
ทางผมก็เผอิญยังไม่ค่อยว่าง !
————-
แต่วันที่ผมทำหน้าที่พนักงานขับรถพาอาจารย์ที่บ้านไปโรงพยาบาลบ้านแพ้ว เข้าไปส่งถึงทางขึ้นตึกอำนวยการ แล้ววนออกมาหาที่จอดรถที่ถนนด้านหน้าโรงพยาบาล ผมประมาณสถานการณ์ดูแล้วคาดว่า ผมน่าจะมีเวลาว่างเป็นชั่วโมงแน่
แต่เวลาว่างแบบนี้ในสถานการณ์แบบนั้น สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรที่ควรทำได้ดีเท่ากับหาที่นั่งเงียบๆ
————-
จัดแจงหาบิณฑบาตแถวนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าไปเลือกมุมที่ถูกใจ นั่งสังเกตการณ์อยู่ในโรงพยาบาล
มุมที่ผมเลือกนั้นเป็นชุมทางที่คนมาถึงโรงพยาบาลแล้วจะต้องเดินผ่านไปห้องนั้นห้องโน้น
มีทั้งบุคลากรทางการแพทย์ผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา
รถเข็นคนป่วยนั่งป่วยนอน
พยาบาลถือคลิปรายการผู้ป่วยเดินจากห้องนั้นไปห้องโน้น
รถเข็นถุงดำ
คนถูพื้น
ฯลฯ
ผู้ป่วยและญาติเดินเข้าออกขวักไขว่
เหมือนในหนังฝรั่งยังไงยังงั้น
————-
ผมนั่งกำหนดดูจิตตัวเองพร้อมไปกับดูวิถีชีวิตของเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายอยู่เกือบชั่วโมงหนึ่ง ก็เห็นสตรีสาวผู้หนึ่งเข็นรถนั่งที่มีสตรีสูงวัยผู้หนึ่งนั่งออกมาจากห้องข้างๆ
ได้ยินคนนั่งและคนเข็นรถสนทนากันถึงอาการเจ็บป่วย
ผมได้ยินชัดๆ อยู่ ๒ ประโยคเท่านั้น
………..
“แม่รู้ได้ไงว่าเป็นยังงั้น”
“ก็นางพยาบาลเขาบอก”
………..
ผมหูผึ่งทันที
“นางพยาบาล” !
เออ ผมไม่ได้ยินใครเรียกอย่างนี้มานานเท่าไรแล้วนะ
————-
สมัยผมเป็นเด็ก (ขึ้นต้นแบบนี้คงรู้กันดีว่าผู้พูดอยู่ในวัยที่ชอบ “เล่าความหลัง”) ได้ยินใครๆ เรียกสตรีผู้ทำหน้าที่ช่วยเหลือแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยว่า “นางพยาบาล” ทั้งนั้น
ระยะหลังๆ มานี่จึงสังเกตเห็นว่า คำว่า “นาง” ถูกตัดทิ้งไป เหลือแต่ “พยาบาล”
เช่น –
………
น้องสาวเป็นพยาบาลอยู่ที่ …
แบบนี้น่าจะต้องจ้างพยาบาลมาดูแล
หนูเป็นพยาบาลนะคะ ไม่ใช่หมอ
………
เออ ทำไมจึงรังเกียจคำว่า “นาง” กันเสียจริงๆ
สตรีบางนาง-ขอประทานโทษ-สตรีบางท่านแม้จะแต่งงานแล้ว ก็ยังใช้สิทธิ์ที่จะใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว” อยู่นั่นเอง
ถ้ามียศ หรือพอจะใช้คำนำหน้าเป็นอย่างอื่นได้ ก็พอใจจะใช้ทันที
แต่สังเกตดูว่าไม่ค่อยมีความภาคภูมิใจกับคำนำหน้านามว่า “นาง” สักเท่าไร
————-
แม่ผมเป็นคนบ้านลาด เพชรบุรี ชื่อ “เหมิด” (ห นำ ไม่ใช่ เห-มิด)
แม่จะเคยเป็น “นางสาวเหมิด” หรือเปล่าผมไม่ทราบ
แต่เมื่อผมโตพออ่านหนังสือออกแล้ว ผมก็เห็นเขาเขียนชื่อแม่ว่า “นางเหมิด”
ถ้าแม่ไม่ยอมเป็น “นางเหมิด”
ผมคงจะไม่ได้เกิดมาเป็นทองย้อย !
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๒ มีนาคม ๒๕๕๘