ถูกต้องตามกฎหมาย
ถูกต้องตามกฎหมาย
———————
ปัญหาเรื่องการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีญาติมิตรท่านหนึ่งแสดงความเห็นไว้น่าฟัง เป็นใจความว่า –
……….
การระบุให้มีศาสนาประจำชาติ ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าจะได้ประโยชน์อะไร
บัญญัติแล้วจะทำอะไรได้ ทำเป็นหรือเปล่า ทำดีหรือทำเลว
ดูแต่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งขึ้นมาแล้ว มี สนง.ทุกจังหวัด แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เพราะไม่มีใครทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม
พระก็เทศน์ไม่ได้ต่างจากเดิม
เครื่องรางของขลังก็ยังเป็นธุรกิจร้อยล้านพันล้านเหมือนเดิม
……….
ผมขออนุญาตแสดงความเห็น-ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นความเห็นต่างหรือเห็นแย้ง-บอกได้แต่ว่า ผมพิจารณาเฉพาะตัวความเห็น ไม่ได้เอาตัวเจ้าของความเห็นมาอยู่ในวงพิจารณาด้วย
ผมเคยเห็นเพื่อนที่ขัดแย้งกันแทบจะทุกเรื่อง
เจอคู่นี้ที่ไหน มันเถียงกันไม่ขาดปาก
แต่เป็นห่วงเป็นใยกัน รักกันชนิดตายแทนกันได้
ความเปิดใจกว้างนั่นเองทำให้คนเรารักกันแบบสุดๆ
————-
ตามความจริงนั้น เจตนาของการเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไม่ใช่เพื่อจะให้พระเทศน์ดีขึ้นกว่าเดิม
หรือเพื่อให้เครื่องรางของขลังหมดไปจากแวดวงพระศาสนา
หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ อีกที่ไม่ได้ยกขึ้นมาพูด เช่นเพื่อให้อลัชชีหมดไปจากศาสนา และเพื่อให้พระสงฆ์ประพฤติดีปฏิบัติชอบอยู่ในกรอบพระธรรมวินัยโดยทั่วกันมากขึ้น รวมทั้งเพื่อให้พระพุทธศาสนาสถิตสถาพรคู่แผ่นดินไทยไปชั่วฟ้าดินสลาย
เรื่องที่ไม่พึงประสงค์ แต่มี และเรื่องที่พึงประสงค์ แต่ไม่มี-เหล่านี้และเหล่าไหนอีกก็ตาม ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุที่ไม่ได้บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เกิดจากความย่อหย่อนอ่อนแอของผู้บริหารการพระศาสนา
และความย่อหย่อนอ่อนแอนั้นก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการที่ไม่ได้บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแต่ประการใดทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องเอาเรื่องพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ดังกล่าวนั้นมาเป็นเงื่อนไขกับเรื่องบัญญัติหรือไม่บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
เช่นถ้าจะแก้ไขเรื่องที่ไม่พึงประสงค์ เราก็สามารถลงมือปฏิบัติการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ใครมาบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเสียก่อนจึงจะทำได้
คนที่รักพระศาสนา เมื่อเห็นความบกพร่อง ความไม่ถูกต้อง ไม่ดีไม่งาม ซึ่งผมเรียกรวมๆ ว่าเรื่องไม่พึงประสงค์ เกิดขึ้นในพระศาสนา เขาควรทำอย่างไร
————
ผมขออนุญาตยกตัวอย่างและขยายความเพียงเรื่องเดียว คือ เรื่องพระเทศน์
ในตัวความเห็นบอกว่า “พระก็เทศน์ไม่ได้ต่างจากเดิม” ผมไม่ทราบว่าหมายถึงแง่มุมไหน แต่แง่มุมที่ผมเห็นก็คือ เท่าที่ฟังเทศน์เดี๋ยวนี้ พระไม่ได้แสดงธรรมของพระพุทธเจ้า แต่แสดงธรรมของข้าพเจ้า
หมายความว่า พระเดี๋ยวนี้เมื่อจะแสดงธรรมท่านไม่ได้ค้นคว้าพระบาลีอรรถกถาฎีกาและอาจริยมติที่มีปรากฏอยู่แล้วนำมาแสดง
แต่ท่านแสดงไปตามความเห็นความชอบใจของท่านล้วนๆ
ขออนุญาตขยายความ
พระธรรมเป็นของพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของพระธรรมดังที่มีคำเรียกว่า “พระธรรมสามี”
พระธรรมกถึกไม่ใช่เจ้าของพระธรรม พระธรรมกถึกผู้แสดงธรรมไม่ได้เป็นผู้คิดพระธรรมขึ้นมาได้เองเมื่อวานนี้
และเราทุกวันนี้ไม่ใช่เป็นคนแรกที่ได้ฟังได้เรียนพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น
มีท่านผู้อื่นที่เรียกรวมอยู่ในคำว่า “บูรพาจารย์” หรือ “โบราณาจารย์” ท่านได้เรียนได้รู้ได้เห็นมาก่อนเรานานนักหนาแล้ว
ท่านเหล่านั้นเมื่อได้เรียนรู้เห็นแล้วท่านก็ถ่ายทอดออกมาเป็นคำอธิบายขยายความที่เรียกว่าอรรถกถาฎีกาและอาจริยมติ
หน้าที่ของผู้แสดงธรรมก็มีเพียงศึกษาค้นคว้าพระบาลีคำสอนต้นเดิมและอรรถกถาฎีกาอาจริยมติเหล่านั้นแล้วนำมาแสดง
ธรรมะแต่ละข้อบูรพาจารย์หรือโบราณาจารย์ท่านได้ขบได้คิดและถ่ายทอดไว้แล้ว
หน้าที่ของผู้แสดงธรรมก็คือศึกษาให้รู้เข้าใจแล้วนำมาแสดง
ที่ว่าอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าห้ามคิดห้ามเห็นเป็นอย่างอื่น ที่เดี๋ยวนี้นิยมเรียกว่า “เห็นต่าง” ต้องคิดต้องเห็นตามที่ท่านคิดไว้ให้แล้วเท่านั้น – ไม่ใช่อย่างนั้น
ผู้แสดงธรรมมีสิทธิ์คิดต่างเห็นต่างได้อย่างเต็มที่
แต่ผู้แสดงธรรมที่ดีต้องเป็นนักศึกษาที่ดี มีความซื่อตรงต่อธรรม คือต้องศึกษาแล้วนำมาแสดงตามลำดับ
เริ่มด้วยพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้
อรรถกถาอธิบายว่าอย่างนี้
ฎีกาอธิบายว่าอย่างนี้
อาจริยมติ คือความเห็นของครูบาอาจารย์รุ่นต่อๆ มาอธิบายว่าอย่างนี้
แล้วจึงมาถึงตัวผู้แสดงเอง ถ้าเห็นต่างก็แสดงออกไปว่าข้าพเจ้ามีความเห็นว่าอย่างนี้
นี่คือวิธีแสดงธรรมที่ถูกต้อง
ด้วยวิธีการอย่างนี้ ผู้สดับก็จะได้ความรู้ความเห็นครบถ้วน กล่าวตามภาษาวิชาการก็ว่าได้ข้อมูลเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ด้วยตนเองว่าจะเชื่ออย่างไรหรือจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป
ไม่ใช่ได้ฟังแต่ความเห็นของผู้แสดงอย่างเดียวโดยที่แทบจะไม่ได้เอ่ยอ้างเลยด้วยซ้ำไปว่า-เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้อย่างไร
และด้วยวิธีการเช่นนี้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะมาสู่การสดับของผู้ฟังอย่างครบถ้วนตลอดสาย จะดำรงอยู่และดำเนินไปอย่างมั่นคงลงตัว ไม่วิปริตผิดเพี้ยนไปตามความเข้าใจเอาเองของใครๆ
แต่พระเทศน์ทุกวันนี้ส่วนมากหาได้ดำเนินตามหลักการเช่นที่ว่านี้ไม่
เท่าที่ได้ฟัง ท่านทำเพียงแค่ยกหัวข้อธรรมขึ้นตั้งตามแบบแผน จบ อิติ แล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น ต่อจากนั้นก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองเตลิดเพลิดเพลินไปจน เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
บ่อยมากที่พบว่า ยกบทอุเทศแล้วก็ไม่ได้อธิบายความหมายในบทอุเทศนั้นเลยแม้แต่คำเดียว
พรรณนาอะไรต่อมิอะไรนอกอุเทศไปมากมาย ยกบทนี้ไปต่อกับบทโน้นเรื่อยเจื้อยไปจนไม่รู้ว่ากำลังเทศน์เรื่องอะไรกันแน่
ที่ว่ามานี้คือเรื่องไม่พึงประสงค์ที่ผมเห็น
และแหล่งที่ผมเห็นบ่อยที่สุดก็คือ-จากรายการแสดงพระธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
เห็นแล้วทำอย่างไร
วิธีการที่ผมทำในฐานะคนรักพระศาสนาก็คือ ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ชี้แจงหลักการตามที่กล่าวมาและเสนอแนะวิธีการว่าควรทำอย่างนี้ๆ เพื่อนำไปสู่ผลที่พึงประสงค์ คือพระธรรมกถึกต้องแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่แสดงความเห็นของผู้แสดงธรรม
เมื่อได้เสนอไปแล้ว ต่อจากนั้น ผู้รับผิดชอบจะทำอย่างไร จะทำตามหรือไม่ทำตาม ก็ว่ากันต่อไป
————
จะเห็นได้ว่า ผมสามารทำได้เต็มที่โดยไม่ต้องรอให้ใครมาบัญญัติหรือไม่บัญญัติศาสนาประจำชาติอะไรเลย
เรื่องไม่พึงประสงค์อื่นๆ ก็สามารถทำได้ด้วยหลักการเดียวกันนี้
เช่นใครเห็นว่าพระหรือวัดสร้างเครื่องรางของขลังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ศึกษาดูสิครับว่าเรื่องนี้ใครกำกับดูแล แล้วเสนอความเห็นไปถึงที่นั่น
หรือจะบุกไปด้วยตัวเองก็ยิ่งดี
หรือจะรณรงค์ให้ประชาชนร่วมต่อต้านด้วยก็ยิ่งดีใหญ่
หรือจะทำด้วยการให้ความรู้ที่ถูกต้องว่าอะไรควรเป็นอะไร ก็ยิ่งประเสริฐนัก
ตัวเองมีแนวความคิดที่เชื่อแน่ว่าดีงามถูกต้อง แต่ทำเองไม่เป็น หรือทำเป็นแต่ไม่มีเวลาทำ ก็หาทางร่วมมือหรือเสนอแนวคิดไปยังคนที่เขาทำเป็นทำได้ให้ช่วยกันทำก็ยังได้
จะเห็นได้ว่า นอกจากวิธีนั่งนอนตำหนิติเตียนอันเป็นวิธีที่คนส่วนมากถนัดและนิยมใช้กันแล้ว หนทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขได้จริงยังมีอีกตั้งหลายวิธี โดยไม่ต้องรอหรือไม่ต้องโยงไปถึงเรื่องการบัญญัติศาสนาประจำชาติอะไรนั่นเลย ขอเพียงให้มีใจรักพระศาสนาจริงและโดยสุจริตเท่านั้น
เมื่อได้ลงมือทำจนสุดฤทธิ์สุดเดชแล้ว นั่นแหละควรภูมิใจว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว จะมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น เราก็ยังคงมีสิทธิ์ภาคภูมิใจว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว
สรุปว่า การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแวดวงพระพุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องเอาไปเกี่ยวกับการบัญญัติหรือไม่บัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
————
เอาละ ทีนี้ ถ้าการบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไม่เกี่ยวกับการที่จะขจัดสิ่งไม่พึงประสงค์และก่อให้เกิดสิ่งที่พึงประสงค์ขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเช่นนั้นแล้ว –
ถามว่า จะเรียกร้องให้บัญญัติไปเพื่อประโยชน์อะไร
ขอตอบว่า เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายครับ
ถ้าฟังคำตอบแบบนี้แล้วยังงงอยู่ ก็จงฟังคำอธิบายต่อไป
————
ประเทศไทยเป็นนิติรัฐ
ในทางวิชาการ นิติรัฐจะหมายความว่าอย่างไรก็หมายไป แต่ในความหมายของผม นิติรัฐหมายถึงประเทศที่จะทำหรือจะไม่ทำอะไรก็ยึดเอาบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นหลัก
กฎหมายบัญญัติไว้อย่างไร ใครทำตามนั้นได้ นั่นคือถูก
ใครไม่ได้ทำตามนั้น ก็คือไม่ถูก
ยกตัวอย่างอาจจะเข้าใจได้ชัด
นาย เอ ฆ่าคนตาย
ฆ่าจริง ตายจริง
ตามข้อเท็จจริง นาย เอ ทำความผิด ต้องได้รับโทษ
แต่ถ้านาย เอ สามารถแสดงพยานหลักฐานได้แน่นหนาจนแย้งไม่ได้ ว่าตนไม่ได้ฆ่า
กฎหมายก็ต้องตัดสินว่านาย เอ ไม่มีความผิด
นาย เอ ก็ไม่ต้องได้รับโทษ
นี่ก็คือที่เราพูดกันว่า-ถูกต้องตามกฎหมาย
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเกิดขึ้นในสังคมนิติรัฐ
อีกตัวอย่างหนึ่ง นาย บี ขอเด็กชาย ซี มาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
ในหมู่ญาติพี่น้องและคนทั่วไปรู้เห็นเข้าใจตรงกันหมดตามขอเท็จจริงว่า เด็กชาย ซี เป็นลูกบุญธรรมของนาย บี
แต่ถ้านาย บี ไม่ได้จดทะเบียนรับเด็กชาย ซี เป็นลูกบุญธรรมตามกฎหมาย เด็กชาย ซี ก็ไม่ใช่ลูกบุญธรรมของนาย บี
สิทธิประโยชน์ใดๆ ที่ลูกบุญธรรมจะพึงได้รับตามกฎหมาย เด็กชาย ซี จะขอรับสิทธิประโยชน์นั้นๆ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ลูกบุญธรรมตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงนั้นใช่พันเปอร์เซ็นต์
กฎหมายอาจจะมีหลักเกณฑ์และวิธีการสืบค้นจนได้ผลออกมาว่า “ถือได้ว่าเด็กชาย ซี เป็นลูกบุญธรรมตามกฎหมายแล้ว” เด็กชาย ซี ก็จึงมีสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่นั่นก็เป็นสิทธิ์ที่ต้องค้นหาและเค้นออกมา ซึ่งต้องเสียเวลาและอาจไม่ประสบความสำเร็จถ้าไม่ฉลาดพอ
แต่ถ้าจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียแล้ว ปัญหาก็จบทันที ไม่ต้องมาเถียงอะไรกันอีก
เวลานี้สังคมอ้างอิงและยอมรับกันหมดแล้วถึงความ “ถูกต้องตามกฎหมาย” ดังว่านี้โดยไม่อาจยกข้อเท็จจริงขึ้นมาต่อสู้หักล้างได้
ขออนุญาตชี้อีกตัวอย่างหนึ่ง
นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย เป็นที่รู้เห็นกันทั่วโลกว่าท่านมีสามีแล้ว และยังมีอยู่ มีลูกด้วย ตัวท่านเองก็ไม่ได้ปิดบั่งซ่อนเร้นจากสังคมแต่ประการใด
สตรีที่มีสามี มีลูกปรากฎชัดแจ้งในสังคม ตามที่ปฏิบัติกันทั่วไปก็คือใช้คำนำหน้าชื่อว่า “นาง”
แต่นายกรัฐมนตรีหญิงของเราท่านใช้คำนำหน้าชื่อว่า “นางสาว” ซึ่งเป็นที่รู้เข้าใจกันทั่วไปว่าเป็นคำนำหน้าชื่อสตรีที่ยังไม่แต่งงาน
ถามว่า ผิดไหม
ตอบยืนยันได้เลยว่า ไม่ผิด ถ้า-มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าสตรีสามารถใช้คำนำหน้าชื่อว่า “นางสาว” ได้โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ๆ แล้วท่านนายกรัฐมนตรีหญิงของเราท่านได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์นั้นๆ แล้ว การใช้นำหน้าชื่อว่า “นางสาว” ของท่านก็ถูกต้องแล้ว-ถูกต้องตามกฎหมาย
เห็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า “ถูกต้องตามกฎหมาย” หรือยัง
————–
เราต้องการให้พระพุทธศาสนาได้รับสิทธิอัน “ถูกต้องตามกฎหมาย” เช่นว่านี้
และไม่ควรเป็นสิทธิที่ต้องค้น ต้องเค้น ต้องตีความ จึงจะได้มา หากแต่เป็นสิทธิที่ได้มาชัดๆ ตรงๆ ตามกฎหมายนั่นเลย
เป็นสิทธิอันถูกต้องตามกฎหมาย
ไม่ใช่สิทธิอันเกิดจากการตีความ
ที่พูดๆ อ้างๆ กันอยู่ในเวลานี้ หากพระพุทธศาสนาจะมีสิทธิอะไร ก็ล้วนแต่เป็นสิทธิอันเกิดจากการต้องตีความเสียก่อนทั้งสิ้น
เช่นอ้างว่า การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะก็มีความหมายเท่ากับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้วในตัว
อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือต้องตีความว่าอย่างนี้จึงจะได้สิทธิ์
แล้วถ้าเกิดมีคนอื่นมาตีความเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้ขึ้นมาล่ะ จะว่าอย่างไร
เพราะฉะนั้น วิธีที่ถูกต้องที่สุดก็คือ บอกลงไปตรงๆ ชนิดที่ไม่ต้องขึ้นกับการตีความของใครทั้งนั้น-ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
บางท่านอาจจะบอกว่า เราก็มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์อยู่แล้วทั้งฉบับ เท่านั้นยังไม่พออีกหรือ จะเอาอะไรกันอีก
ขอเชิญไปศึกษา พรบ.คณะสงฆ์ดูเสียก่อน
พรบ.คณะสงฆ์เป็นแต่เพียงบอกว่า คณะสงฆ์คือใคร และจะอยู่กันอย่างไร
แต่ไม่ได้บอกไว้เลยว่าพระพุทธศาสนาคือใคร และมีสิทธิ์อะไรบ้างตามกฎหมาย
อันที่จริง แนวเทียบที่ชัดเจนในสังคมนิติรัฐก็คือ กรณีที่เราพูดกันเป็นภาษาง่ายๆ ว่า-เมียจดทะเบียนกับเมียไม่ได้จดทะเบียน
ชายหญิงอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส กฎหมายก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยา
ถ้าสามีรับราชการ ภรรยาเจ็บป่วยก็เบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้
สิทธิอื่นใดอีกที่ภรรยาจะพึงได้รับ กฎหมายก็ไม่รับรองให้ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนได้สิทธิ์นั้น
ถ้าจะได้ ก็ต้องตีความกันเสียก่อนอย่างที่พูดมาแล้ว
เพราะฉะนั้น พูดสั้นๆ ว่า-เราขอจดทะเบียนให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ-ตามกฎหมาย-เหมือนเมียที่อยู่กินกันมานานแล้วขอจดทะเบียนเพื่อให้เป็น “ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย” นั่นแหละ
ถ้าใครยังถามอีกว่าจะขอจดไปทำไม
ก็ย้อนไปตอบด้วยคำเดิมว่า-เพราะประเทศของเราเป็นนิติรัฐ
จะทำอะไรได้หรือไม่ได้
จะเป็นอะไรได้หรือไม่ได้
ตลอดจนจะได้สิทธิ์อะไรหรือไม่ได้
เราอ้างกฎหมายเป็นหลักกันทั้งนั้น
ประเด็นนี้เคยมีผู้หยิบฉวยขึ้นมาอ้างแล้ว
หนังสือแบบเรียนเรื่อง พระพุทธศาสนา เล่มหนึ่งเขียนไว้ว่า –
“พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันคู่ชาติไทย ประวัติศาสตร์ยืนยันว่าไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย”
สมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งเสนอให้ตัดข้อความนี้ออกจากแบบเรียนดังกล่าว ท่านให้เหตุผลว่า ข้อความนี้ไม่ถูกต้อง “เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย”
เห็นฤทธิ์หรือยังครับ
เห็นฤทธิ์ของคำว่า “ถูกต้องตามกฎหมาย” กันหรือยัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยมีพระราชดำรัสตรงๆ ไว้ว่า
“คนไทยเป็นศาสนิกชนที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ” (พระราชดำรัสแก่พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ เมื่อ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๗)
ก็ขนาดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นผู้ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายแท้ๆ ตรัสไว้ดังนี้ เขายังไม่เอามายึดถือว่าเป็นกฎหมายเลย เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการออกกฎหมาย
เพราะฉะนั้นจึงต้องระบุไว้ในตัวบทกฎหมายตรงๆ ว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” จึงจะมีผลตามกฎหมาย
ที่ผ่านมา เรามองข้ามข้อเท็จจริงข้อนี้ไปเสียหมด
แต่ตอนนี้เราขอใช้สิทธิ์ตรงนี้
ผู้มีอำนาจร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างกฎหมายไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตั้งคำถามอีกแล้วว่า-บัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้วจะมีอะไรดีขึ้น
จะมีอะไรดีขึ้นหรือไม่มีอะไรดีขึ้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เก็บเอาไว้เฉ่งกันในสนามอื่น
เหมือนชายหญิงเขาพร้อมใจกันไปจดทะเบียนสมรส นายทะเบียนไม่ต้องถามเลยว่า จดทะเบียนแล้วคุณจะมีความสุขมากขึ้นไหม ภรรยาคุณจะทำกับข้าวอร่อยขึ้นหรือเปล่า เธอจะขยันงานบ้านงานเรือนขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
เมื่อเขามีคุณสมบัติครบตามที่กำหนด ก็จงทำหน้าที่รับจดทะเบียนไปให้เรียบร้อย
อีกนัยหนึ่ง อุปมาเหมือนข้าราชการที่ทำราชการมาด้วยความเรียบร้อย ถึงโอกาสที่จะได้ลาพักผ่อนประจำปี
ผู้มีอำนาจอนุญาตให้ลาไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามว่า คุณจะใช้วันลาพักผ่อนไปทำอะไร ถ้าเอาเวลาไปตกปลา ไม่อนุญาต ถ้าเอาเวลาไปไหว้พระ ๙ วัด จึงจะอนุญาต
เขาจะเอาวันลาพักผ่อนไปทำอะไร เป็นเรื่องของเขา
อนึ่ง ผู้มีอำนาจร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างกฎหมายไม่ควรที่จะตั้งคำถามอีกแล้วว่า-บัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว จะเอาศาสนาอื่นๆ ไปไว้ที่ไหน
การบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไม่ใช่การบัญญัติให้ศาสนาอื่นๆ ต้องออกไปจากชาติ
เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
ศาสนาอื่นๆ มาตั้งหลักปักฐานอยู่ในประเทศไทยได้อย่างสุขสบายเพราะอะไร ไปศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยดู แล้วจะรู้ด้วยตัวเองว่า-ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามแบบคนปัญญาไม่แข็งแต่อย่างใดเลย
————–
ลูกเล่นอีกอย่างหนึ่งที่เราคงจะต้องเจอแน่ก็คือ-การอ้างเหตุผลว่า ประเทศเรามีศาสนาอื่นรวมอยู่ด้วย การบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเพียงศาสนาเดียวย่อมจะไม่เป็นธรรม ถ้าบัญญัติก็ควรจะบัญญัติให้ทุกศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอย่างเท่าเทียมกัน
นี่จะเป็นภูเขาหิมาลัยอีกลูกหนึ่งที่จะถูกยกขึ้นมาขวางทาง
ฝ่ายที่เรียกร้องจึงต้องเตรียมหาทางทลายภูเขาลูกนี้ให้ได้
สรุปว่า
๑ การเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจุดประสงค์อยู่ที่-เพื่อให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
๒ ความเสื่อมหรือความเจริญของพระพุทธศาสนาเป็นคนละเรื่องกับการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเอามาอ้างหรือเอามาผูกเข้าด้วยกัน เช่น-ตั้งหน่วยงานนั่นนี่โน่นขึ้นมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น หรือคอยจ้องกระทบซ้ำว่า-เห็นไหม บัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น
๓ ผู้เป็นห่วงเรื่องความเสื่อมหรือความเจริญของพระพุทธศาสนา ย่อมสามารถลงมือช่วยกันขจัดความเสื่อมและสนับสนุนความเจริญได้อยู่แล้วตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะต้องรอให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเสียก่อนจึงจะทำได้
ใครเห็นช่องทางจะทำอะไรได้ก็จงลงมือช่วยกันทำ อย่าเอาแต่พูดว่าไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น
————-
ถ้าการระบุให้มีศาสนาประจำชาติ ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าจะได้ประโยชน์อะไร
การระบุให้มีศาสนาประจำชาติก็ย่อมจะไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันด้วยเช่นกันว่าจะต้องเสียอะไร
แต่ประชาชนจะมีเหตุผลมากขึ้นในการที่จะไล่บี้ผู้บริหารการพระศาสนาได้เต็มมือและหนักมือขึ้นอย่างชนิดที่ไม่ต้องยั้งมือกันอีกต่อไป-ให้ขจัดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกไป และสร้างสรรค์สิ่งที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้น โดยไม่อืดอาด เฉื่อยชา ชักช้า งุ่มง่าม ไม่ทำสิ่งที่ควรทำ แต่ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ-เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘
๑๒:๐๖