บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บุญพิเศษ

———-

เมื่อเช้า (๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒) ผมไปเดินออกกำลังตามปกติ 

ผมบ่ายหน้าไปทางตะวันตก เนื่องจากวันนี้วันจันทร์-ประจิม เทวดาสถิตทิศตะวันตก 

อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะว่าผมเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ 

หลวงลุงดี-พระเถระที่เป็นผู้ปกครองผมสมัยผมเป็นสามเณรท่านสอนตำรานี้ให้ผม 

ตำราบอกว่า เทวดากับผีหลวงจะสถิตในทิศตรงกันข้ามเสมอและย้ายทิศไปในแต่ละวัน 

เทวดาสถิตทิศไหนบ้าง ผมสกัดออกเป็นคำสั้นๆ เพื่อจำง่ายเป็นส่วนตัวว่า – 

อาทิตย์-อาคเนย์

จันทร์-ประจิม

อังคาร-หรดี

พุธ-ทักษิณ

พฤหัส-อุดร

ศุกร์-บูรพา

เสาร์-พายัพ

เนื่องจากในเขตเทศบาลเมืองราชบุรีผมเดินจนปรุหมดแล้วทุกทิศ ดังนั้นเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งถามตัวเองว่าเช้านี้จะออกทิศไหนดี ก็เลยงัดเอาตำราทิศเทวดา-ผีหลวงมาประยุกต์ใช้ 

วันไหนเทวดาสถิตทิศไหนก็ยกให้เป็นเรื่องของเทวดา ไม่เกี่ยวกับใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ 

ผลพลอยดีของการใช้ตำรานี้ก็คือ ผมรู้จักภูมิประเทศในเขตเทศบาลรอบทิศทาง 

กล่าวตามสำนวนก็ว่า-รู้จักทุกซอกทุกมุม 

โดยเฉพาะซอยไหนหมาดุ ผมจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ 

เชี่ยวชาญในที่นี้หมายความว่า โดนหมากัดมาแล้วแทบจะทุกซอย

นักออกกำลังส่วนมากออกจากบ้านก็ขับรถไปสนามกีฬา 

กี่วันๆ ก็สนามกีฬา 

จึงไม่มีโอกาสได้รู้ว่าบ้านเมืองของตัวเองมีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง 

ถ้าหาโอกาสเดินให้เท้าติดดินกันเสียบ้าง 

คนไทยจะรักแผ่นดินไทยขึ้นอีกเยอะ

—————–

พอถึงแยกต้นสำโรงผมก็เลี้ยวขวา ตรงหัวมุมมีร้านไม่หลับไม่นอนอยู่ร้านหนึ่ง ผมแวะเข้าไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ตั้งใจเอาไปถวายพระที่วัดมหาธาตุ 

ออกจากร้านไม่หลับไม่นอนผมก็เดินเรื่อยตามถนนขึ้นไปทางเหนือ จากแยกต้นสำโรงประมาณ ๓๐๐ เมตรเป็นทางแยก หักขวาหมดก็เข้าประตูวัดมหาธาตุ 

ก่อนถึงทางแยก ทางขวามือมีพื้นที่โล่ง เป็นที่สาธารณะ แต่ว่ากันว่านักการเมืองใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือช่องโหว่ทางกฎหมายจับจองเป็นของส่วนตัว แต่ยังไม่กล้าทำอะไร คงปล่อยทิ้งรกร้างอยู่ 

ตรงพื้นที่ที่ว่านี่แหละมีต้นตะขบบ้านอยู่ต้นหนึ่ง พุ่มใหญ่ แผ่กว้าง ถ้าผ่านไปทางนั้นผมจะแวะเข้าไปเก็บลูกตะขบกินเป็นประจำ 

ตะขบบ้านลูกสุกสีแดง หวานเลี่ยน วงการแพทย์แผนไทยบอกว่ามีสรรพคุณหลายอย่าง ผมจำไม่ได้สักอย่าง จำได้แต่ว่ากินมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเลี้ยงวัว สรรพคุณที่ประสบกับตัวเองก็คือชะลอความหิวและบรรเทา-หรือบางกรณีก็เพิ่ม-ความกระหายน้ำได้ดี 

ที่เป็นบุญพิเศษของผมในเช้าวันนี้ก็คือ เดินไปยังไม่ทันถึงต้นตะขบผมก็เห็นก้อนอิฐหรือก้อนหิน ๔-๕ ก้อนเรียงรายอยู่ริมถนน ดูลักษณะเหมือนใครเอามาใช้งานอะไรสักอย่าง เสร็จงานแล้วไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย

พูดให้กระทบใจก็ว่า-เสร็จธุระแล้วก็สะบัดตูด 

ไม่ถึงกับกีดขวางทางรถวิ่ง แต่ก็ดูไม่ดี 

ผมก็จัดการเก็บกวาดเข้าที่ ง่ายๆ ไม่ลำบากอะไร 

คนมักง่ายนี่เข้าใจยากนะครับ กิจที่ทำได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ทำ ชอบกลจริงๆ 

—————–

เข้าไปในวัด ขึ้นไปกราบพระมงคลบุรีบนวิหารหลวง แล้วไปที่ศาลาหอฉัน (ซึ่งก็คือศาลาที่ทำบุญทุกวันพระ) พระฉันเสร็จแล้วกำลังเดินกลับกุฏิ ผมเข้าไปไหว้พระในศาลา ที่นั่นมีตู้รับบริจาคเขียนไว้ว่า “พระอาพาธ” 

ผมจำไม่ได้ว่าต้นเหตุมาจากไหนกันแน่-คือ-วันหนึ่งเมื่อสักเดือนหรือสองเดือนมานี้ พวกญาติโยมได้ยินหลวงพ่อปรารภถึงพระอาพาธในวัดมหาธาตุซึ่งมีอยู่หลายรูป ได้ยินว่าในฐานะเจ้าอาวาสหลวงพ่อก็ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งหมด 

ใครคนหนึ่งก็เลยโพล่งขึ้นว่า ทำไมเราไม่ตั้งตู้รับบริจาคเพื่อพระอาพาธโดยเฉพาะขึ้นมาล่ะ จะได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้หลวงพ่อได้บ้าง

ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดตู้ “พระอาพาธ” ขึ้นมา 

เรื่องตู้รับบริจาคนี่วัดมหาธาตุไม่ถือเป็นสาระสำคัญ เคยคิดจะไม่ตั้ง แต่คนที่มาไหว้พระถามว่าจะใส่ตู้บริจาคได้ตรงไหน 

ทำให้ได้แง่คิดว่า ทำไมจะต้องเอาอุดมคติมาปิดโอกาสญาติโยม 

อุดมคติ คือ วัดนี้ไม่เรี่ยไร วัดนี้ไม่ตั้งตู้รับบริจาค วัดในพระพุทธศาสนาจะต้องไม่รีดไถชาวบ้าน 

วัดมหาธาตุตั้งตู้รับบริจาคเพื่อเปิดโอกาสให้คนได้บำเพ็ญบุญทานมัยตามกำลังศรัทธา

แต่ไม่ชักชวน ไม่โน้มน้าว ไม่ต้อนหน้าต้อนหลัง ไม่เอาบุญเข้าล่อ ใครอยากทำ ทำเอง 

เหมือนทำประตูไว้ให้ อยากเข้า เข้าเอง ไม่อยากเข้า ไม่ว่าอะไรเลย 

แค่มาไหว้พระก็อนุโมทนาสาธุอย่างยิ่งแล้ว

พอมีตู้ “พระอาพาธ” ผมก็มักจะหาเรื่องโฉบเข้าไปในวัดมหาธาตุอยู่เนืองๆ ใส่ตู้พระอาพาธเป็นพิเศษนอกเหนือจากทานมัยปกติที่ทำอยู่ทุกวันไม่เคยขาด 

เฉพาะวันนี้ผมทำบุญพิเศษ ๒ เรื่อง

อนุโมทนาบุญพิเศษโดยทั่วกันนะครับ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒

๑๖:๑๖

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *