บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ถ้าไม่เอาพระธรรมวินัย

—————–

ผมเชื่อว่าญาติมิตรส่วนมากคงจะเคยเห็นภาพพระเทพญาณมหามุนี หรือที่เรียกรู้กันในนาม พระธัมมชโย ที่นำมาประกอบเรื่องวันนี้

ข้อสงสัยของผมก็คือ เมื่อเห็นภาพพระสงฆ์ไทยสวมเสื้อ สวมหมวก ทำไมผู้คนจึงไม่สงสัยอะไรกันบ้างเลย 

ดูจากภาพและข่าวทางเฟซบุ๊กที่มีคนเอาเรื่องพระมาพูดกันไม่ขาดสาย ผมยังไม่เคยเห็นใครยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นเลยสักครั้ง 

(อาจมีพูดกันในเวทีอื่น ใครทราบ ขอแรงเอามาบอกกล่าวกันบ้างก็จะเป็นการดี)

อาการเช่นนี้บอกถึงอะไร?

บอกถึงว่า-ชาวพุทธในเมืองไทยไม่รู้เรื่องพระธรรมวินัย 

หรือรู้ แต่ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

————

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าพระสงฆ์ไทยไม่สวมเสื้อ

เครื่องนุ่งห่มของภิกษุในพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เรียกว่า ไตรจีวร หรือผ้าสามผืน (สบง-ผ้านุ่ง จีวร-ผ้าห่ม สังฆาฏิ-ผ้าห่มสำรอง) รวมทั้งอดิเรกจีวร เช่นผ้าอาบน้ำฝน ผ้าอังสะ ก็ไม่มีชิ้นไหนมีรูปทรงเป็นเสื้อแต่อย่างใด 

อังสะบางแบบ-ดูเหมือนจะเรียก “อังสะลังกา” ผิดถูกยังไม่แน่ใจ-อาจจะดูคล้ายเสื้อชั้นใน แต่ก็ไม่มีแขน และพระท่านมักใช้เฉพาะในเวลาอากาศหนาว เมื่อห่มจีวรทับลงไปก็มองไม่เห็น

บางเวลาที่พระทำกิจภายในวัด เช่นกวาดลานวัด หรือซ่อมเสนาสนะ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เครื่องนุ่งห่มที่รัดกุม ท่านอาจดัดแปลงวิธีนุ่งห่มให้ทะมัดทะแมง หรือมีเครื่องเสริมประกอบ เช่นหมวกกันแดดเป็นต้น ก็ถือว่าเป็นการนุ่งห่มเฉพาะกิจ เฉพาะเวลา เฉพาะสถานที่

นานมาแล้วผมเคยเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊กเป็นภาพพระไทยกำลังทำงานโยธาภายในวัด ใส่เสื้อนุ่งกางเกงเหมือนพระจีน ก็เข้าใจดีว่าเป็นเหมือน “ชุดทำงาน” ภายในวัด 

แต่ใจจริงแล้วผมไม่เห็นด้วยเลย

ผมเป็นเด็กวัด ก็เคยเห็นพระรุ่นเก่าท่านแต่งตัวแปลกๆ ในเวลาหลวงพ่อใช้ให้ทำงานโยธา แต่หลักอย่างหนึ่งก็คือท่านจะแต่งอย่างนั้นก็ในเมื่อไม่มีสายตาญาติโยมมาคอยจับจ้อง พูดง่ายๆ ว่าแอบแต่งในเวลาที่ต้องทำงานออกแรง แต่เมื่ออยู่ในสายตาญาติโยม แม้จะทำงานโยธาท่านก็จะนุ่งห่มสมภาวะสมณะเสมอ

ผมเคยเห็นภาพหลวงปู่ จะเป็นหลวงปู่บุดดาหรือหลวงปู่แหวนรูปใดรูปหนึ่ง หรือทั้งสองรูปก็ไม่แน่ใจ เป็นภาพที่ท่านสวมหมวกไหมพรม เข้าใจว่าท่านสวมเพราะอากาศหนาว และอยู่ในที่รโหฐาน

ว่ากันว่าพระไทยที่ไปตั้งวัดอยู่ที่ยุโรป-อเมริกา เมื่อถึงเวลาอากาศหนาวจัดท่านก็มีเครื่องนุ่งห่มเพิ่มเติมอีกหลายชิ้น เช่นถุงน่องรองเท้า ไปจนถึงหมวก ว่าถึงกับสวมเสื้อเลยก็มี

เครื่องนุ่งห่มชนิดที่ว่านี้ถ้าแต่งอยู่ในเมืองไทย คนคงไม่นึกว่าเป็นพระ

นั่นก็มีเหตุผลว่า เพื่อให้สู้กับสภาพดินฟ้าอากาศได้ ก็พอเข้าใจได้

————

ในพระไตรปิฎกมีเรื่องแสดงไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงทดลองใช้เครื่องนุ่งห่มในยามอากาศหนาว และได้ข้อยุติว่า อากาศหนาวสุดๆ ห่มจีวรสี่ผืนพระอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเครื่องช่วยอื่นๆ ประกอบ

ในฐานะพุทธบุตร คือลูกพระพุทธเจ้า ผมเห็นว่าลูกๆ ควรศึกษาให้ทั่วถึงว่าพ่อของเราท่านผ่านอะไรมาบ้างจึงบัญญัติให้ทำอย่างนี้ ไม่ให้ทำอย่างนั้น เวลานี้มีการประพฤติปฏิบัติโดยไม่ศึกษาพุทธบัญญัติให้เข้าใจแจ่มแจ้งกันมากขึ้น

————

ได้สืบถามท่านที่พอจะรู้เรื่องว่า ทำไมหลวงพ่อธัมมชโยท่านจึงสวมเสื้อ ได้ความว่าหลวงพ่อท่านบอกว่าผิวหนังท่านมีอาการแสบๆ คันๆ รู้สึกแปล๊บๆ เมื่อถูกอากาศ เมื่อสวมเสื้อจึงบรรเทาอาการเช่นว่านั้นไปได้

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้ให้ข้อมูลได้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมหลวงพ่อไม่สวมหน้ากากปิดหน้าด้วยเล่า หรือว่าอาการแปล๊บๆ ที่ว่านั้นเกิดเฉพาะที่ตัวที่แขน ไม่เกิดที่ใบหน้า?

ข้อสงสัยนี้ทำให้นึกถึงภาพหลวงพ่อป่วยหนักที่ทางวัดพระธรรมกายเผยแพร่ให้คนทั้งหลายรับรู้ เป็นภาพหลวงพ่อสวมหน้ากากช่วยหายใจ (oxygen mask) แต่ไม่ได้ต่อถังออกซิเจน สาย oxygen sat ก็ไม่ได้ติด ก็เลยดูพิกลๆ อย่างไรอยู่

ที่แน่ใจได้ก็คือ การที่หลวงพ่อธัมมชโยสวมเสื้อ สวมหมวก ใช้ผ้าคลุมไหล่ ฯลฯ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องนุ่งห่มที่แปลกไปจากพระสงฆ์ไทยนั้น ท่านไม่ได้ทำเป็นการเฉพาะกิจ เฉพาะเวลา เฉพาะสถานที่ หากแต่ทำเป็นการประจำ ทำโดยเปิดเผยต่อสาธารณะ เท่ากับประกาศว่า ฉันจะนุ่งห่มแบบนี้ มันผิดตรงไหน ใครจะทำไม

ลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่งว่า พระสงฆ์ไทยนั้นนอกจากถือตามพระธรรมวินัยเถรวาทแล้ว ก็ยังมีจารีตบางประการอันไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยเป็นกรอบปฏิบัติอยู่ด้วย 

ตัวอย่างที่รู้เห็นกันทั่วโลกก็คือ พระสงฆ์ไทยต้องโกนคิ้ว

จารีตนั้นแม้ไม่มีในพุทธบัญญัติ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น-ใครจะอ้างพุทธบัญญัติอย่างไรก็อ้างไป แต่ถ้าเป็นพระไทยต้องไม่รับของจากมือสตรีเพศโดยตรง-อย่างนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

————

ปัญหาที่ฝังรากลึกและกำลังขยายตัวอยู่ในเวลานี้ก็คือ ชาวพุทธในเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย จะเลื่อมใสใครหรือไม่เลื่อมใสใคร เอาความถูกใจตัวเองเป็นหลัก 

เมื่อถูกใจแล้ว จะถูกจะผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ ไม่รับรู้ คงยึดถืออยู่แต่ว่า-ฉันศรัทธาหลวงพ่อรูปนี้-เท่านั้นพอ

ผลร้ายที่ตามมาก็คือ พระเองก็จะหลงทาง คือเอาจำนวนญาติโยมที่ศรัทธาเป็นเครื่องชี้วัด ไม่ได้เอาพระธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ประพฤติปฏิบัติ 

และในที่สุดก็จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ขึ้นมา นั่นคือ อะไรที่ญาติโยมเขายอมรับได้ พระก็ทำได้ พระธรรมวินัยเอาไว้ต่างหาก

ดังที่มีเรื่องว่ากันมาช้านานแล้วว่า บางพื้นที่ในประเทศไทยพระฉันข้าวค่ำกันเป็นปกติ เพราะญาติโยมไม่ถือ (แต่เขาไม่ให้เอามาพูดกัน)

การอ้างว่าญาติโยมเขายอมรับได้นั้นนับว่าเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการเปลี่ยนรากฐานของพระศาสนาจากพระธรรมวินัยมาอยู่ที่การยอมรับได้ของสังคม

ในสังคมพุทธศาสนามหายาน พระทำอะไรๆ ได้มากมายโดยที่สังคมยอมรับว่าท่านยังเป็นพระอยู่ อย่างที่เรารู้กัน พระตั้งบริษัทธุรกิจ พระตั้งพรรคการเมือง ไปจนถึง-พระมีเมีย เหล่านี้สังคมของเขายอมรับได้ทั้งสิ้น คือยอมรับว่าแม้ท่านทำอย่างนั้นท่านก็ยังเป็น “พระ” ของสังคมอยู่นั่นเอง

โดยพากันลืมไปสิ้นว่า “พระ” ตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้

เวลานี้ ในบ้านเรา พระที่อุ้มแม่ กอดแม่ ไหว้แม่ ก็เริ่มมีคนส่วนหนึ่งยกย่องสรรเสริญว่าเป็นพระที่ดีไปแล้ว

ถ้าเอาการยอมรับของสังคมเป็นมาตรฐาน ก็เชื่อได้ว่าอีกไม่นานพระไทยก็จะค่อยๆ กลายเป็นพระมหายานไปโดยอัตโนมัติ

————

คงจะพอได้เค้าแล้วใช่ไหมครับว่า เมื่อหลวงพ่อธัมมชโยสวมเสื้อ สวมหมวก ใช้ผ้าคลุมไหล่ ฯลฯ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องนุ่งห่มที่ผิดแปลกไปจากจารีตของพระสงฆ์ไทยนั้น ทำไมจึงไม่มีใครสงสัยอะไรเลย ซ้ำยังนับถือเลื่อมใสกันอยู่เป็นปกติ 

ผมเชื่อว่าต่อให้หลวงพ่อท่านทำอะไรที่พิลึกพิลั่นยิ่งไปกว่านี้ สังคมส่วนหนึ่ง-โดยเฉพาะสังคมที่ท่านจัดตั้งไว้-ก็จะยังคงเคารพนับถือว่าท่านเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง

————

ความวิปริตที่ว่ามานี้ยังนับว่าเป็นเพียง “ชั้นหน้าดิน” คือชั้นตื้น เพราะยังเป็นเพียงแค่ไม่รับรู้พระธรรมวินัยเท่านั้น (พระธรรมวินัยมีอยู่ แต่ฉันไม่รับรู้)

แต่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกนั้นจะเป็น “ชั้นใต้ดิน” คือชั้นลึก นั่นคือ ต่อไปจะลุกลามไปถึงขั้นปฏิเสธพระธรรมวินัย กล่าวคือจะมีการอ้างว่าที่พระธรรมแสดงไว้อย่างนี้ พระวินัยบัญญัติไว้อย่างนี้นั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ

อันที่จริงกรณีเช่นว่านี้เวลานี้ก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเป็นประเด็นไกลตัว คนยังไม่สนใจมากนัก ก็อย่างเช่นกรณี-นิพพานเป็นอัตตา

พระไตรปิฎกบอกไว้ชัดว่า นิพพานเป็นอนัตตา 

แต่สำนักที่สอนว่านิพพานเป็นอัตตาบอกว่า ที่พระไตรปิฎกบอกว่านิพพานเป็นอนัตตานั้นก็ยังจะต้องตีความกันอีก อาจจะไม่ใช่ตามนั้นก็เป็นได้ ควรจะต้องไปฟังความเห็นของท่านศาสตราจารย์คนนั้น ฟังทฤษฎีของท่านดอกเตอร์คนโน้นกันก่อน เพราะความเห็นของนักวิชาการอาจจะถูกต้องกว่าก็เป็นได้

เห็นไหมครับว่า เริ่มจะเอาความเห็นของนักวิชาการมาแทนพระธรรมวินัยกันแล้ว

————

อันที่จริง ถ้าบรรดาท่านที่ไม่รับรู้พระธรรมวินัยจะมีความซื่อตรง คือประกาศออกไปตรงๆ ว่า ความประพฤติอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้ คำสอนอย่างนี้ และแม้แต่การแต่งกายแบบนี้ เป็นของข้าพเจ้าคิดขึ้นเอง ไม่ใช่พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คือไม่ใช่พระพุทธศาสนา 

ใครอยากรู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไรก็ขอให้ไปศึกษาเอาจากพระไตรปิฎกโน่น 

ใครชอบใจวิธีของข้าพเจ้าก็ต้องรับรู้ว่านี่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็นศาสนาที่ข้าพเจ้าคิดขึ้นเอง

ถ้าบอกไปซื่อๆ อย่างนี้ก็จะน่านับถือนักหนาว่าซื่อตรงจริง

เพราะเมื่อแสดงตัวว่าเป็นพระพุทธศาสนา ก็ต้องยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก

ถ้าไม่เอาพระธรรมวินัย ก็ต้องไม่เอาพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

๑๕:๕๕

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *