รอพระโพธิสัตว์มาตัดสิน
เมื่อวาน (๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙) ผมเขียนเรื่องตำรวจจับผู้ขับรถเร็วเกินกำหนด แต่จับแบบเลือกจับ ไม่ได้จับเพื่อสนองเจตนารมณ์ของกฎหมาย
กฎหมายเห็นว่าการขับรถเร็วเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
เจตนารมณ์ของกฎหมายก็คือป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากขับรถเร็ว เพราะฉะนั้น กฎหมายจึงให้อำนาจตำรวจมีสิทธิ์เข้าระงับยับยั้งรถทุกคันที่ขับเร็วเกินกำหนด
แต่ในการปฏิบัติจริง รถที่ขับเร็วเกินกำหนดบางคันเท่านั้นที่ถูกจับ ในขณะที่รถที่ขับเร็วเกินกำหนดอีกมากมายไม่ได้ถูกจับ
สรุปว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
แต่กลับเป็นการใช้อำนาจที่กฎหมายมอบให้เป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์
—————–
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดขึ้นมาได้ควบคู่กับเรื่องนี้
อันที่จริงพอเห็นเรื่องตำรวจจับรถขับเร็ว ผมก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แต่เอามาพูดทีหลัง
เป็นเรื่องของการใช้อำนาจที่กฎหมายมอบให้เป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ในทำนองเดียวกัน นั่นคือกฎหมายเกี่ยวกับโบราณสถาน
เข้าประเด็นกันตรงๆ ก็คือ วัดที่มีอาคารสถานที่ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว หากจะซ่อมอาคารสถานที่นั้นจะต้องขออนุญาตต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะดำเนินการซ่อมได้
เจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ก็คือ เพื่อป้องกันไม่ให้โบราณสถานถูกทำลายคุณค่าทางศิลปะอันเนื่องมาจากการซ่อมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
พูดกันตรงๆ ถ้าให้วัดมีอำนาจซ่อมได้อย่างเสรี ของดีๆ เช่น โบสถ์เก่าๆ ศาลาการเปรียญหลังงามๆ ก็จะถูกทำลายฉิบหายหมด
เพราะฉะนั้น การซ่อมจึงต้องอยู่ในความควบคุมของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนเสร็จ
แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ใช้อำนาจที่กฎหมายมอบให้นี้แสวงหาผลประโยชน์ เริ่มตั้งแต่การขออนุญาตเป็นต้นไป โดยจะกำหนดเงื่อนไขในการซ่อมหลายอย่าง เช่น รูปร่างแผนผังของอาคารที่จะซ่อมใหม่ ต้องเป็นไปตามที่หน่วยงานที่รับผิดชอบออกแบบ ผู้รับเหมาซ่อมจะต้องมีมาตรฐานตามที่หน่วยงานที่รับผิดชอบกำหนด และที่สำคัญ งบประมาณในการซ่อมไม่ว่าจะเป็นของทางราชการหรือเป็นของวัด จะต้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นผู้ถือจ่ายแต่เพียงผู้เดียว
เราท่านคงพอประมาณการได้ว่า ช่องทางแสวงหาผลประโยชน์มีอยู่ตรงจุดไหนบ้าง
เพราะฉะนั้นก็ละไว้ฐานเข้าใจ ไม่ต้องพูด
ถ้าไม่เป็นไปตามนี้-โดยเฉพาะเรื่องการถืองบประมาณ- ก็จะมีปัญหาขลุกขลักตามมาทันที
ที่ปรากฏเสมอก็คือ ขออนุญาตไปแล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบ
ถ้าวัดขืนซ่อมไปเองก็จะเกิดเรื่องใหญ่ ดังกรณีที่เกิดขึ้นที่วัดกัลยาณมิตร หวังว่าเราคงยังไม่ลืม
เมื่อวัดกัลยาณมิตรขออนุญาตซ่อมเสนาสนะ และได้เห็นเงื่อนไขเหล่านั้น ท่านเจ้าอาวาสได้ประกาศดังๆ ว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบจะไม่ได้กินเงินของวัดกัลยาณมิตรแม้แต่บาทเดียว
—————–
ที่ยกเรื่องนี้มาคุยสู่กันฟังก็เพราะเรื่องแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นที่วัดเทพอาวาส จังหวัดราชบุรี
วัดเทพอาวาสมีโบสถ์เก่าอยู่หลังหนึ่ง รูปทรงงามมาก
งามอย่างไรโปรดดูภาพประกอบ
โบสถ์หลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสมัยที่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (น่าจะประมาณ พ.ศ.๒๕๕๓ เป็นต้นมา) เนื่องจากตระกูลของนายชินวรณ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างโบสถ์หลังนี้
ใครเห็นโบสถ์หลังนี้เป็นต้องพูดตรงกันว่า สมควรจะต้องซ่อมเป็นการด่วน
ท่านเจ้าอาวาสวัดเทพอาวาสรูปปัจจุบันเป็นศิษย์สำนักวัดมหาธาตุ ราชบุรี สำนักเดียวกับผม จึงคุ้นเคยกันมาก ผมไปที่วัดท่านหรือเจอท่านที่ไหน ก็นมัสการทุกครั้งไปว่า ซ่อมโบสถ์เสียทีเถิดขอรับ
ท่านก็ตอบว่าคิดอยู่ตลอด ซ่อมแน่ กำลังหาเงิน
ผมเอ่ยปากชักชวนคนที่รู้จักมักคุ้นกันคนหนึ่ง ให้ลองหาทางช่วยหาเงิน ที่กล้าชวนก็เพราะเป็นทหารเรือด้วยกัน
ท่านผู้นั้นเกิดใจสู้ขึ้นมา ไปบอกบุญเถ้าแก่โรงงานผลิตอาหารสัตว์แถวมหาชัยให้มาเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน
เถ้าแก่โรงงานเห็นโบสถ์แล้วชอบใจมาก ตกลงรับเป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่วัดเทพอาวาสเมื่อปี ๒๕๕๖ ได้เงินประเดิมกองทุนล้านกว่า
และบอกว่าจะเป็นเจ้าภาพทุกปีจนกว่าจะซ่อมโบสถ์เสร็จ
หลังเสร็จงานกฐินปีนั้น ท่านเจ้าอาวาสเอาเงินกฐินฝากเก็บเข้าบัญชีวัด แล้วทำเรื่องขออนุญาตซ่อมโบสถ์ทันที
ความจริงก่อนหน้านั้น ท่านมองหาช่างที่มีความสามารถไว้แล้ว ให้ช่างมาตรวจสภาพเบื้องต้นแล้ว ช่างบอกว่าซ่อมให้เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เกิน ๑๐ ล้าน
ท่านเจ้าอาวาสก็หมายใจไว้ว่า จะหาเงินและลงมือซ่อมไปพร้อมๆ กัน เงินหมดก็รอ ได้เงินก็ทำต่อ เชื่อว่าไม่นานคงเสร็จ
เรื่องการขออนุญาต ทราบความคืบหน้าจากท่านเจ้าอาวาสว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบออกแบบและประมาณการค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว
ตั้งงบซ่อมไว้เป็นเงิน ๒๓ ล้าน !
เงื่อนไขคือ ขอให้ทางวัดหาเงินให้ได้ ๖ ล้าน หน่วยงานที่รับผิดชอบจะตั้งงบสมทบ ๑๗ ล้าน ได้รับอนุมัติงบเมื่อไรก็ซ่อมได้เมื่อนั้น โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเป็นผู้ถืองบเอง
ท่านเจ้าอาวาสวัดเทพอาวาสก็ประกาศดังๆ เหมือนกับที่ท่านเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรเคยประกาศมาแล้วว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบจะไม่ได้กินเงินของวัดเทพอาวาสแม้แต่บาทเดียว
จากปีนั้นจนปีนี้ เรื่องขออนุญาตเงียบหายไปกับสายลม
ท่านเจ้าอาวาสไปทวงถามเป็นสิบๆ ครั้ง จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ก็ไม่มีคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น
ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า ทางวัดจะซ่อมตามแบบแปลนแผนผังที่หน่วยงานที่รับผิดชอบออกแบบไว้แล้วทุกอย่าง และขอให้จัดเจ้าหน้าที่มาคุมงานด้วย โดยทางวัดยินดีจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ตามอัตราของทางราชการ จะกี่วันกี่เดือนก็ตามจนกว่าจะซ่อมเสร็จ
ทางราชการไม่ช่วยก็ไม่ว่าอะไรเลย ขอเพียงอย่างเดียว วัดจะหาเงินเอง ถือเงินเอง จ่ายเอง เท่านั้น
จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ก็คงเงียบหายไปกับสายลม!!
—————–
ในระหว่าง ๓ ปีมานี้ ผู้ที่มาเห็นสภาพโบสถ์เก่าของวัดเทพอาวาสก็มักจะเอ่ยตำหนิติเตียนอยู่ไม่ขาดปากว่า เจ้าอาวาสวัดนี้ไปมัวทำอะไรอยู่ปล่อยให้โบสถ์พังอยู่ได้ ไม่รู้จักซ่อม
ที่ตำหนิฝากมากับผมก็หลายราย
และที่สำคัญก็คือ เกิดข้อกังขาพุ่งเป้าไปที่ท่านเจ้าอาวาสจังๆ ว่า ไหนบอกว่าจะซ่อมโบสถ์ ทอดกฐินได้ปีละล้านกว่า เอาเงินไปทำอะไร ฯลฯ
แต่เป็นบุญนักหนาที่เถ้าแก่โรงงานซึ่งรับเป็นเจ้าภาพทอดกฐินเข้าใจเบื้องหลังของปัญหาเป็นอันดี ศรัทธาจึงไม่ถอย
มาเป็นเจ้าภาพทอดกฐินติดต่อกัน ๓ ปีแล้ว และจะเป็นต่อไปอีก
ในขณะที่โบสถ์เก่าวัดเทพอาวาสก็ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ
เห็นภาพไหมครับ การยื้อกันระหว่าง –
ผู้มีอำนาจ-ที่คิดแต่จะเอาผลประโยชน์
กับวัด-ที่กลัวโบสถ์จะพัง
—————–
นึกถึงเรื่องในชาดก เรื่องคดีแย่งลูกระหว่างนางยักษ์ที่แปลงตัวเหมือนแม่ กับแม่จริงๆ
พระโพธิสัตว์ทำหน้าที่ตัดสินคดีนี้ ใช้วิธีให้คู่กรณีจับเด็กทางหัวคนหนึ่ง ทางเท้าคนหนึ่ง
แล้วสั่งให้ดึงแย่งกัน
ใครได้เด็กก็เอาเด็กไป
นางยักษ์คิดแต่จะเอาเด็กไปกินให้ได้
แม่จริงคิดแต่จะรักษาชีวิตลูก
พอเด็กร้องด้วยเจ็บเพราะถูกดึงตัว
แม่จริงทนสงสารลูกไม่ไหว ยอมปล่อยมือ
ในขณะที่แม่ปลอมยังคงยึดเด็กไว้แน่น
พระโพธิสัตว์รู้ได้ทันทีว่าแม่จริงคือคนไหน
จึงตัดสินให้คืนเด็กให้กับแม่จริง
—————–
ใครจะเป็นพระโพธิสัตว์ตัดสินคืนโบสถ์ให้วัดเทพอาวาสครับ?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙
………………………………………
รอพระโพธิสัตว์มาตัดสิน