บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

แด่ท่านผู้จะได้รับกุญแจวิเศษคล้องคอ

แด่ท่านผู้จะได้รับกุญแจวิเศษคล้องคอ 

———————————

ระหว่างวันที่ ๒๒ ถึง ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ คณะสงฆ์ท่านมีงานตรวจข้อสอบบาลี 

โปรดทราบว่า สอบนักธรรม สอบบาลี ตรวจข้อสอบ คณะสงฆ์ท่านกำหนดวันเป็นวันทางจันทรคตินะครับ 

คือกำหนดวันขึ้น-แรม เดือนไทยเป็นหลัก 

ไม่ได้ใช้วันที่ เดือนมกรา-กุมภาเป็นหลัก 

สมัยผมเป็นเณร หลวงลุงบอกให้จำไว้ว่า วันเริ่มสอบนักธรรม คือ “เดือนอ้าย แรม ๒ ค่ำ” ผมก็จำอย่างนั้นมาตลอด 

ต่อมา จะเป็นตั้งแต่ปีไหนก็จำไม่ได้ ท่านก็เปลี่ยนวันเริ่มสอบนักธรรมจาก “เดือนอ้าย แรม ๒ ค่ำ” เป็น “เดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ” คือร่นเข้ามาอีกเดือนหนึ่ง 

ตอนนี้ผมก็ต้องเปลี่ยนข้อมูลความจำใหม่เป็น-วันเริ่มสอบนักธรรมคือ “เดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ” และบอกญาติทางปากท่อให้ช่วยกันจำไว้ด้วย เพราะประเพณีทำอาหารไปเลี้ยงพระที่มาสอบนักธรรมทุกปี รวมทั้งพระที่มาสอบบาลีด้วย จะเป็นมรดกประจำตระกูลของเราต่อไป

วันสอบบาลีกำหนดเป็น ๒ ครั้ง 

ครั้งแรก สอบประโยค ป.ธ.๖-๗-๘-๙ เริ่มสอบ “ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓” 

ครั้งที่ ๒ สอบประโยค ๑-๒ และประโยค ป.ธ.๓-๔-๕ เริ่มสอบ “แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๓” 

วันตรวจข้อสอบบาลี ท่านก็กำหนดเป็น “แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔” ใช้เวลา ๕ วัน ไปเสร็จและประกาศผลสอบแรม ๖ ค่ำ 

คณะสงฆ์กำหนดวันทำกิจต่างๆ เป็นวันขึ้น-แรม คือวันทางจันทรคติก็เพราะวันสำคัญและวันทำกิจพิเศษในพระพุทธศาสนาท่านกำหนดด้วยวันทางจันทรคติทั้งสิ้น 

การกำหนดวันทำกิจต่างๆ เป็นวันขึ้น-แรม จึงมีความเหมาะสม เป็นการรักษาแบบธรรมเนียมและหลักการของพระพุทธศาสนาไว้ให้มั่นคง

………………..

จำได้ไหมครับ-กรณีวันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์ 

มาฆบูชากำหนดด้วยวันทางจันทรคติ คือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตายตัว (ยกเว้นปีที่มีอธิกมาส เลื่อนเป็นเดือน ๔)

วันวาเลนไทน์ คือ ๑๔ กุมภาพันธ์ ตายตัวเช่นกัน 

บางปีวันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์ใกล้กัน มีบางปีเป็นวันเดียวกันเลย คือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ 

จึงมีอยู่คราวหนึ่งหรือช่วงเวลาหนึ่งที่นักอธิบายธรรมะของเราพากันอธิบาย “โอวาทปาติโมกข์” อันเป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในวันมาฆบูชาให้มีความหมายเป็น “ธรรมะแห่งความรัก” เพื่อให้สอดคล้องกับวันวาเลนไทน์

เวลานี้ก็ยังมีคนพยายามอธิบายแบบนั้นอยู่

เป็นการละลายสมบัติของตัวเองให้กลายเป็นของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว 

ผมไม่แน่ใจว่าผู้บริหารการพระศาสนาของเรายังจะมั่นคงในหลักการของตัวเองไปได้อีกนานแค่ไหน 

อย่าแปลกใจนะครับ-ถ้าในอนาคต วันสอบนักธรรม สอบบาลี วันตรวจข้อสอบ กำหนดเป็นวันที่-ตามชาวโลกเขา-อ้างความเหมาะสมนั่นนี่โน่น

ตลอดจน-ต่อไป วันพระก็เปลี่ยนเป็นวันอาทิตย์ วันทำอุโบสถสังฆกรรมก็เปลี่ยนเป็นวันอาทิตย์ มีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูงมาก เพราะเราพร้อมที่จะทิ้งหลักการของตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว 

——————

ขอเข้าประเด็นที่ตั้งใจพูดต่อไปครับ

ประเด็นที่ตั้งใจพูดคือผลการสอบบาลี 

อีกวันสองวันนี้ พระเณรจะได้เฮกันอีกปีหนึ่ง โดยเฉพาะประโยคบาลีสูงสุดคือ ป.ธ.๙ รวมไปถึง บ.ศ.๙ ด้วย 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามเณรที่สอบประโยค ป.ธ.๙ ได้

ญาติโยมทั้งหลายก็จะ (ถูกทำให้) ชื่นชมยินดีปรีดากันทั่วหน้า

สื่อทั้งหลายก็จะประโคมข่าวคึกคักไปอีกพักใหญ่

เราวัดความสำเร็จกันที่การสอบได้ 

ซึ่งผมพยายามบอกมานานแล้วว่า-ถ้าวัดกันแค่นั้น ก็คือเราหลงทาง

การสอบได้ไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกต้องของการเรียนบาลี

ใช่-การสอบได้เป็นเป้าหมาย 

แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกต้อง 

บางท่านประกาศด้วยความภาคภูมิใจเมื่อสอบ ป.ธ.๙ ได้ว่า “ผมปารคูแล้ว”

ปารคู” อ่านว่า ปา-ระ-คู แปลเป็นไทยว่า “ผู้ถึงฝั่ง” เอามาพูดในความหมายที่เข้าใจเอาเองว่า “บรรลุความสำเร็จ” 

ผมขอให้ทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูก ให้ตรง ว่า การสอบ ป.ธ.๙ ได้ ไม่ใช่ความสำเร็จที่ถูกต้องของการเรียนบาลี 

ความสำเร็จที่ถูกต้องของการเรียนบาลีคือ การใช้ความรู้ทางภาษาบาลีที่ได้เรียนมาไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆ ในสายให้รู้เข้าใจถูกต้อง แล้วนำมาปฏิบัติให้ถูกต้อง และเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ด้วย เข้าใจด้วย ปฏิบัติตามด้วย สืบต่อกันไป – 

นี่คือเป้าหมายที่ถูกต้องของการเรียนบาลี

ทำไมจึงว่าอย่างนี้ 

ถอยไปตั้งหลักคิดครับ 

หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาคือพระธรรมวินัย

พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว พระธรรมวินัยที่ทรงแสดงไว้บัญญัติไว้จะเป็นพระศาสดาของพวกเราแทนพระองค์ 

“พระธรรมวินัย” ที่ตรัสถึงนี้ท่านรวบรวมไว้ในคัมภีร์ที่รู้จักกันในชื่อ “พระไตรปิฎก”

พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาเถรวาท-อย่างที่นับถือกันในเมืองไทยและเมืองอื่นๆ ท่านบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี 

พูดแค่นี้ก็เห็นได้แล้วใช่ไหมว่า เราเรียนภาษาบาลีกันทำไม

………………..

เราเรียนภาษาบาลีก็เพื่อที่จะได้มีเครื่องมือสำหรับไปศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย อันเป็นตัวพระศาสนา อันเป็นองค์พระศาสดาของพวกเรา เพื่อจะได้รู้เข้าใจถูกต้องว่าพระศาสดาตรัสสอนอะไร สอนอย่างไร เพื่อจะได้วินิจฉัยได้ถูกต้องว่าอะไรที่พระศาสดาตรัสสอน และอะไรที่พระศาสดาไม่ได้ตรัสสอน (แต่มีผู้เอามาสอนเอามาปฏิบัติ) 

………………..

พระศาสนาจะยั่งยืนสืบไปได้ก็เพราะมีผู้เข้าใจคำสอนที่ถูกต้องและนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

จะเข้าใจคำสอนที่ถูกต้องและนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องก็ต้องศึกษาพระธรรมวินัย 

จะศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจถึงราก ก็ต้องเรียนบาลี 

การเรียนบาลีก็คือการหาเครื่องมือ เตรียมเครื่องมือเพื่อนำไปเป็นอุปกรณ์ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย 

เป้าหมายที่ถูกต้องจึงอยู่ที่ตรงนี้-ตรงที่เอาไปศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย

การสอบได้ก็ดี การได้รับสิทธิต่างๆ ตามมาก็ดี ตลอดจนเกียรติยศชื่อเสียงอื่นๆ ก็ดี เป็นสิ่งที่ดี ที่ควรแก่การอนุโมทนา 

และผมขออนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้ด้วยความจริงใจ 

แต่โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า นี่ไม่ใช่เป้าหมาย 

ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นเพียงผลตามรายทางเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายปลายทาง 

ใครถือว่าเป็นเป้าหมาย นั่นคือกำลังหลงทาง 

——————

เรียนบาลีแล้ว มีความรู้แล้ว สอบได้แล้ว เหมือนได้รับมอบกุญแจวิเศษไขตู้พระไตรปิฎก 

เท่าที่ผ่านและกำลังเป็นอยู่ ผู้เรียนบาลีตั้งเป้าหมายไว้ที่-จะได้รับมอบกุญแจวิเศษนี้ 

มองแค่นี้ เห็นแค่นี้ 

เมื่อได้กุญแจวิเศษมาแล้วจึงได้แต่เอาแขวนคอไว้ แล้วบอกกัน ชื่นชมกันว่า-ฉันมีกุญแจวิเศษคล้องคอแล้วนะ

สังคมก็พากันชื่นชมว่า ท่านผู้นี้มีกุญแจวิเศษคล้องคอแล้วนะ 

………………..

เรียนหมอ จบหมอ แต่ไม่รักษาโรค 

ย่อมไร้ประโยชน์ ฉันใด 

เรียนบาลี จบบาลี แต่ไม่ศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย 

ก็ไร้ประโยชน์ ฉันนั้น

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๓ มีนาคม ๒๕๖๒

๑๑:๒๒

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *