ค่า
ค่า
—
ถามว่า อะไรจะมีค่าหรือไม่มีค่า เอาอะไรเป็นเกณฑ์?
เอาตัวของสิ่งนั้นเอง หรือเอาคนที่มองสิ่งนั้น?
เช่น ค่าของเพชรพลอยอยู่ที่ไหน
ถ้าให้ไก่มอง ไก่ก็ต้องบอกว่ามีค่าสู้ข้าวเปลือกไม่ได้
ถ้าให้ลิงมอง ลิงก็จะบอกว่ามีค่าสู้กล้วยผลเดียวไม่ได้
แต่ถ้าให้คนมอง คนก็จะบอกว่าเพชรพลอยมีค่ากว่าข้าวเปลือกกว่ากล้วยเป็นไหนๆ
ตกลงค่าจริงๆ ของเพชรพลอยอยู่ที่ไหน
อยู่ที่ตัวเพชรพลอยเอง
หรืออยู่ที่ว่าเพชรพลอยไปอยู่กับใคร
แนวคิดที่คนยอมรับกันมากคือ “จงอยู่ในที่ที่คนเห็นค่าของเรา”
จากแนวคิดนี้ จึงทำให้คนพากันดิ้นรนขวนขวายด้วยประการต่างๆ เพื่อให้ตนได้ไปอยู่ในสังคมที่คนจะเห็นค่าของตน
ที่ว่ามานี้มองในมุมที่จะให้สังคมเห็นค่าของเรา แต่ถ้ามองในมุมที่เราจะให้คุณค่าแก่สังคม ก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง
ขอให้ลองดูประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ ๕
รัชกาลที่ ๕ ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาวิชาการที่ประเทศยุโรปหลายพระองค์ โดยมีพระราชประสงค์จะให้พระราชโอรสเหล่านั้นนำความรู้มาพัฒนาสยามประเทศ มิใช่เพื่อประโยชน์ของตัวพระราชโอรสเอง
พูดเป็นหลักว่า-ไปเรียนวิชาเพื่อกลับมาทำประโยชน์ให้สังคม
แล้วดูคนไทยรุ่นหลังๆ จนถึงรุ่นเรา ไปศึกษาวิชาการจากต่างประเทศเพื่ออะไร เพื่อกลับมาทำประโยชน์ให้สังคม หรือว่า-เพื่อกลับมาเอาประโยชน์จากสังคม?
ถ้าเราจะให้สังคมเห็น “ค่า” ของเรา เราอาจจะต้องปรับตัว เหมือนอยู่กับไก่ เราก็ต้องเป็นข้าวเปลือกจึงจะมีค่า อยู่กับลิง เราก็ต้องเป็นผลไม้จึงจะมีค่า ถ้าเราเป็นเพชรพลอยก็ต้องไปอยู่กับคนที่รู้ค่า
สรุปว่า ถ้าไม่ปรับตัวก็ต้องเปลี่ยนสังคม
แต่ถ้าเราจะทำคุณค่าให้แก่สังคม เราก็ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นข้าวเปลือกหรือเป็นผลไม้ตามสภาพสังคม เรายังคงเป็นอย่างที่เราเป็น เพียงแต่เร่งพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถที่จะสร้าง “ค่า” ให้แก่สังคมตามแนวทางที่เราถนัดหรือตามอุดมคติของเราว่า-สังคมควรจะเป็นอย่างไร และสังคมควรจะได้ค่าแบบไหนจากเราจึงจะดีที่สุด
ดังเช่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
มิใช่เพื่อให้โลกเห็น “ค่า” ของพระองค์
แต่เพื่อมอบ “ค่า” ที่ดีที่สุดให้แก่โลก
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ มกราคม ๒๕๖๕
๑๗:๔๒
………………………………………..
ค่า