กาลามสูตร
กาลามสูตร
————
ทบทวนความเข้าใจกันไว้บ้าง
ควรทราบว่า พระสูตรนี้ในพระไตรปิฎกไม่ได้ชื่อ “กาลามสูตร” (กาลามสุตฺต) คำว่า “กาลามสูตร” เป็นชื่อที่นิยมเรียกกันในภายหลัง
พระสูตรนี้ ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติยสูตร
ที่ชื่อ “กาลามสูตร” เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาลามะแห่งวรรณะกษัตริย์
ที่ชื่อ “เกสปุตติยสูตร” เพราะพวกกาลามะนั้นเป็นชาวเกสปุตตนิคม
พระสูตรนี้ออกเสียงว่า กา – ลา – มะ – สูด ไม่ใช่ กา-ละ-มะ-สูด หรือ กะ-ลา-มะ-สูด อย่างที่บางคนเรียกกันเพลินปากไป
คนส่วนมากนิยมยกคำว่า “กาลามสูตร” ไปอ้างโดยบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ เช่น พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อตำรา พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อครู เป็นต้น
โปรดทราบว่า การพูดเช่นนั้นไม่ถูกต้อง
ควรเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพียงแค่อ้างว่า เขาเขียนไว้ในตำราจึงต้องเชื่อ คนนี้เป็นครูบาอาจารย์จึงต้องเชื่อ-อย่างนี้เป็นต้น โดยตรัสถึงตัวอย่างที่คนชอบยกขึ้นมาอ้างไว้ ๑๐ ข้อ ว่าอย่าอ้างแบบนี้
ขอยกข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต มาเสนอไว้ในที่นี้ ท่านประมวลความไว้อย่างกระชับ มีภาษาอังกฤษแนบไว้ให้ด้วย จับเอาไปอ้างอิงได้ ดูพจนานุกรมนี้แล้วมองภาพกาลามสูตรออก
……………………………………
[317] กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 (หมายถึง วิธีปฏิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร — Kālāmasutta-kaṅkhāniyaṭṭhāna: how to deal with doubtful matters; advice on how to investigate a doctrine, as contained in the Kālāmasutta)
1. มา อนุสฺสเวน (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา — Be not led by report)
2. มา ปรมฺปราย (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา — Be not led by tradition)
3. มา อิติกิราย (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ — Be not led by hearsay)
4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ — Be not led by the authority of texts)
5. มา ตกฺกเหตุ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก — Be not led by mere logic)
6. มา นยเหตุ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน — Be not led by inference)
7. มา อาการปริวิตกฺเกน (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล — Be not led by considering appearances)
8. มา ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว — Be not led by the agreement with a considered and approved theory)
9. มา ภพฺพรูปตาย (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ — Be not led by seeming possibilities)
10. มา สมโณ โน ครูติ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา — Be not led by the idea, ‘This is our teacher’.)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
สูตรนี้ ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติยสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาลามะแห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาลามะนั้นเป็นชาวเกสปุตตนิคม
A.I.189. องฺ.ติก.20/505/241.
……………………………………
สาระของกาลามสูตรมีอยู่ ๓ ตอน คือ –
๑ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ
๒ ต้องเชื่ออย่างมีหลัก
๓ เชื่ออย่างมีหลักแล้วดีอย่างไร
ที่เอาไปอ้างกันนั้น จับเอาตอนแรกไปพูดกันตอนเดียวเหมือนกับว่าทั้งหมดของกาลามสูตรมีอยู่แค่นั้น
หนังสือ พุทธธรรม งานนิพนธ์ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต กล่าวไว้ว่า –
……………………………………
อนึ่ง ไม่พึงแปลความเลยเถิดไปว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้ แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่าเป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ก็ขนาดสิ่งที่น่าเชื่อที่สุดแล้ว ท่านยังให้คิดให้พิจารณาให้ดีก่อน สิ่งอื่นคนอื่น เราจะต้องคิดต้องพิจารณาระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน
ที่มา: เชิงอรรถ พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ (พ.ศ.๒๕๒๕) หน้า ๖๕๑
……………………………………
ตามไปอ่านกาลามสูตรได้ที่ลิงก์นี้
……………………………………
https://84000.org/tipitaka/read/?20/505
……………………………………
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ มกราคม ๒๕๖๕
๑๐:๔๔
………………………………………
กาลามสูตร