ปริตตสุภา (บาลีวันละคำ 3,520)
ปริตตสุภา
รูปพรหมชั้นที่เจ็ด
อ่านว่า ปะ-ริด-ตะ-สุ-พา เขียนแบบบาลีเป็น “ปริตฺตสุภา” (มีจุดใต้ ต เต่า ตัวหน้า) แยกศัพท์เป็น ปริตฺต + สุภา
(๑) “ปริตฺต”
อ่านว่า ปะ-ริด-ตะ มี 2 ความหมาย คือ –
(ก) “ปริตฺต” นัยหนึ่ง รากศัพท์มาจาก –
(1) ปริ (คำอุปสรรค = รอบด้าน) + อตฺต (สิ่งที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆ)
: ปริ + อตฺต = ปริตฺต แปลตามศัพท์ว่า “ส่วนที่แตกไปโดยรอบ”
(2) ปริ (คำอุปสรรค = รอบด้าน) + ทา (ธาตุ = ขาดตอน) + อ ปัจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ (ทา > ท), แปลง ท เป็น ต, ซ้อน ตฺ ระหว่างอุปสรรคกับธาตุ (ปริ + ตฺ + ทา)
: ปริ + ตฺ + ทา = ปริตฺทา > ปริตฺตา > ปริตฺต + อ = ปริตฺต แปลตามศัพท์ว่า “ส่วนที่ขาดไปโดยรอบ”
“ปริตฺต” (นปุงสกลิงค์) ตามรากศัพท์นี้หมายถึง เล็ก, เล็กน้อย, ด้อยกว่า, ไม่ว่าสำคัญ, จำกัด, นิดหน่อย, นิดเดียว (small, little, inferior, insignificant, limited, of no account, trifling)
(ข) “ปริตฺต” อีกนัยหนึ่ง รากศัพท์มาจาก ปริ (คำอุปสรรค = รอบด้าน) + ตา (ธาตุ = ป้องกัน) + อ ปัจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ (ตา > ต), ซ้อน ตฺ ระหว่างอุปสรรคกับธาตุ (ปริ + ตฺ + ตา)
: ปริ + ตฺ + ตา = ปริตฺตา > ปริตฺต + อ = ปริตฺต แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ป้องกันภัยเป็นต้นให้แก่สัตว์รอบด้าน”
“ปริตฺต” ตามรากศัพท์นี้หมายถึง การป้องกัน, การรักษาให้ปลอดภัย; ของขลังสำหรับป้องกันตัว, ของที่ช่วยบรรเทา, เครื่องราง (protection, safeguard; protective charm, palliative, amulet)
ในที่นี้ “ปริตฺต” ใช้ในความหมายตามนัยแรก คือ เล็กน้อย, ด้อยกว่า
“ปริตฺต” ในความหมายนี้ภาษาไทยใช้เป็น “ปริต” “ปริต-” (มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) และ “ปริตตะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ปริต, ปริต-, ปริตตะ : (คำวิเศษณ์) น้อย. (ป. ปริตฺต; ส. ปรีตฺต).”
ในที่นี้มีคำว่า “สุภา” มาสมาสข้างท้าย แต่สะกดเป็น “ปริตต-” (ต เต่า 2 ตัว)
(๒) “สุภา”
รูปคำเดิมเป็น “สุภ” อ่านว่า สุ-พะ รากศัพท์มาจาก –
(1) สุ (คำอุปสรรค = ดี,งาม) + ภา (ธาตุ = รุ่งเรือง) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ, ลบสระที่สุดธาตุ (ภา > ภ)
: สุ + ภา = สุภา + กฺวิ = สุภากฺวิ > สุภา > สุภ (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่รุ่งเรืองด้วยดี”
(2) สุภฺ (ธาตุ = รุ่งเรือง) + อ (อะ) ปัจจัย
: สุภฺ + อ = สุภ (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่งดงาม”
(3) สุ (คำอุปสรรค = ดี,งาม) + ภู (ธาตุ = มี, เป็น) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ, ลบสระที่สุดธาตุ (ภู > ภ)
: สุ + ภู = สุภู + กฺวิ = สุภูกฺวิ > สุภู > สุภ (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นโดยสภาวะที่งดงาม”
“สุภ” ใช้เป็นคุณศัพท์หมายถึง –
(1) เจิดจ้า, สว่าง, งดงาม (shining, bright, beautiful)
(2) ได้ฤกษ์, โชคดี, น่าพึงใจ (auspicious, lucky, pleasant)
“สุภ” ใช้เป็นคำนามหมายถึง สวัสดิภาพ, ความดี, ความพึงใจ, ความสะอาด, ความสวยงาม, สุขารมณ์ (welfare, good, pleasantness, cleanliness, beauty, pleasure)
บาลี “สุภ” สันสกฤตเป็น “ศุภ” (ศุ– ศ ศาลา)
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
(1) ศุภ : (คำวิเศษณ์) เปนสุขหรือมีสุข, มีโชคหรือเคราะห์ดี, มีหรือเป็นมงคล; งาม; วิศิษฏ์; คงแก่เรียน; happy, fortunate, auspicious; handsome, beautiful; splendid; learned.
(2) ศุภ : (คำนาม) มงคล; ศุภโยค, โชคหรือเคราะห์ดี; สุข; นักษัตรโยคอันหนึ่ง; คณะเทพดา; ข้าวหลาม; อาภา; โสภาหรือความงาม; auspiciousness; good junction or consequence, good fortune; happiness; one of the astronomical Yogas; an assemblage of the gods; bamboo-manna; light; beauty.
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “ศุภ” (ศ ศาลา) ของสันสกฤต และ “สุภ” (ส เสือ) ของบาลี บอกความหมายไว้เหมือนกันว่า “ความงาม, ความดีงาม, ความเจริญ”
ในที่นี้สะกดตามรูปบาลีเป็น “สุภ”
ปริตฺต + สุภ = ปริตฺตสุภ (ปะ-ริด-ตะ-สุ-พะ) แปลว่า “ผู้มีความงดงามเพียงเล็กน้อย”
คัมภีร์สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวิภังคปกรณ์ อภิธรรมฺปิฎก ตอนธัมมหทยวิภังคนิทเทส หน้า 835 กระจายศัพท์ให้เห็นที่มาของชื่อนี้ว่า
…………..
ปริตฺตา สุภา เอเตสนฺติ ปริตฺตสุภา ฯ
แปลว่า ความงามของพรหมเหล่านี้มีเล็กน้อย ดังนั้น จึงชื่อว่า ปริตฺตสุภา = ผู้มีความงดงามเพียงเล็กน้อย
…………..
ในภาษาบาลี “ปริตฺตสุภ” ใช้เป็นคุณศัพท์ขยายคำว่า “เทวา” (เทวดาทั้งหลาย) จึงเปลี่ยนรูปเป็น “ปริตฺตสุภา”
“ปริตฺตสุภา” ในที่นี้ใช้ในภาษาไทยเป็น “ปริตตสุภา” (ไม่มีจุดใต้ ต เต่า ตัวหน้า) คำนี้ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
อภิปรายขยายความ :
“ปริตตสุภา” เป็นชื่อของพรหมชั้นที่ 7 ในรูปาวจรภูมิซึ่งมีทั้งหมด 16 ชั้น พรหม “ปริตตสุภา” เป็นพรหมระดับตติยฌาน (ในการเจริญฌานแบบจตุกนัย) หรือระดับจตุตถฌาน (ในการเจริญฌานแบบปัญจกนัย) ซึ่งมี 3 จำพวก คือ ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา และสุภกิณหา
…………..
คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย ตอนอธิบายมหานิทานสูตร อธิบายเรื่องพรหม 3 จำพวกที่เกิดด้วยอำนาจตติยฌานหรือจตุตถฌานเหมือนกัน คือ พรหมปริตตสุภา พรหมอัปปมาณสุภา และ พรหมสุภกิณหา เปรียบเทียบกันดังนี้ –
…………..
ปญฺจกนเย ปน ปริตฺตมชฺฌิมปณีตสฺส จตุตฺถชฺฌานสฺส วเสน โสฬสทฺวตฺตึสจตุสฏฺฐิกปฺปายุกา ปริตฺตสุภา อปฺปมาณสุภา สุภกิณฺหา นาม หุตฺวา นิพฺพตฺตนฺติ ฯ
แต่ในการเจริญฌานแบบปัญจกนัย ผู้เจริญจตุตถฌานระดับเล็กน้อยมาเกิด ชื่อว่าพรหมปริตตสุภา มีอายุ 16 กัป
ผู้เจริญจตุตถฌานระดับปานกลางมาเกิด ชื่อว่าพรหมอัปปมาณสุภา มีอายุ 32 กัป
ผู้เจริญจตุตถฌานระดับประณีตมาเกิด ชื่อว่าพรหมสุภกิณหา มีอายุ 64 กัป
อิติ สพฺเพปิ เต เอกตฺตกายา เจว จตุตฺถชฺฌานสญฺญาย เอกตฺตสญฺญิโน จาติ เวทิตพฺพา ฯ
พึงทราบว่า พรหมเหล่านั้นทั้งหมดมีรูปกายเหมือนกัน และเมื่อว่าตามสัญญาในจตุตถฌานก็มีสัญญา (คือความรู้สึกนึกคิดจำได้หมายรู้สิ่งต่างๆ) เหมือนกัน ด้วยประการฉะนี้
ที่มา: สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 179
…………..
ดูก่อนภราดา!
: รูปร่างงามเล็กน้อยไม่เป็นไร
: คุณธรรมในดวงใจอย่าเล็กน้อย
#บาลีวันละคำ (3,520)
31-1-65
…………………………….