บาลีวันละคำ

อัปปมาณาภา (บาลีวันละคำ 3,518)

อัปปมาณาภา

รูปพรหมชั้นที่ห้า

อ่านว่า อับ-ปะ-มา-นา-พา เขียนแบบบาลีเป็น “อปฺปมาณาภา” แยกศัพท์เป็น อปฺปมาณ + อาภา

(๑) “อปฺปมาณ

อ่านว่า อับ-ปะ-มา-นะ ประกอบด้วย + ปมาณ

(ก) “” บาลีอ่านว่า อะ (ไม่ใช่ ออ) คำเดิมคือ “” (นะ) เป็นคำจำพวก “นิบาต” คำจำพวกนี้ไม่แจกด้วยวิภัตติปัจจัย คือคงรูปเดิมเสมอ อาจเปลี่ยนรูปโดยวิธีสนธิกับคำอื่นบ้าง แต่คงถือว่าเป็นคำเดิมเพราะเวลาแปลต้องแยกคำออกเป็นคำเดิมเสมอ 

นักเรียนบาลีมักท่องจำรวมกับคำอื่นในกลุ่มเดียวกันว่า “ ไม่ โน ไม่ มา อย่า เทียว” ( [นะ] = ไม่, โน = ไม่, มา = อย่า, [วะ] = เทียว

” เป็นนิบาตบอกความปฏิเสธ แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)

(ข) “ปมาณ” บาลีอ่านว่า ปะ-มา-นะ รากศัพท์มาจาก (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ข้างหน้า, ก่อน, ออก) + มา (ธาตุ = นับ) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ) แล้วแปลง เป็น  

: + มา = ปมา + ยุ > อน = ปมาน > ปมาณ (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “การนับ” “วิธีอันเขานับ

ปมาณ” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) เครื่องวัด, ขนาด, จำนวน (measure, size, amount)

(2) เครื่องวัดเวลา, เข็มทิศ, ความยาว, ระยะเวลา (measure of time, compass, length, duration)

(3) อายุ = “โลกิยลักษณะ” (age = “worldly characteristic”)

(4) ขอบเขต (limit)

(5) มาตรฐาน, บทนิยาม, คำบรรยายลักษณะ, มิติ (standard, definition, description, dimension)

บาลี “ปมาณ” สันสกฤตเป็น “ปฺรมาณ

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –

(สะกดตามต้นฉบับ)

ปฺรมาณ : (คำนาม) ‘ประมาณ,’ มูล, เหตุ; เขตต์; พิสูจน์, หลักฐาน, อธิการหรือศักติ์; ปริมาณ, กำหนดมากน้อย; เวทหรือธรรมศาสตร์; ผู้กล่าวความจริง; นามพระวิษณุ; cause, motive; limit; proof, testimony, authority; measure, quantity; a scripture or work of sacred authority; speaker of the truth; a title of Vishṇu; – ค. นิตย์, นิรันดร; มุขย์, มหัตหรือมหันต์; eternal; principal, capital.”

บาลี “ปมาณ” ในภาษาไทยใช้เป็น “ประมาณ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

ประมาณ : (คำกริยา) กะหรือคะเนให้ใกล้เคียงจำนวนจริงหรือให้พอเหมาะพอควร เช่น เขาประมาณราคาค่าก่อสร้างบ้านไว้ ๓ ล้านบาท. (คำวิเศษณ์) ราว ๆ เช่น ประมาณ ๓-๔ เดือน. (ส. ปฺรมาณ; ป. ปมาณ).”

พจนานุกรมฯ ไม่ได้เก็บคำว่า “ปมาณ” ไว้ เป็นอันว่าคำนี้ภาษาไทยใช้อิงสันสกฤตเป็น “ประมาณ” 

ในที่นี้ใช้ตามรูปบาลีเป็น “ปมาณ

การประสมคำ :

+ ปมาณ

ตามกฎไวยากรณ์บาลี : 

(1) ถ้าพยางค์แรกของคำที่ “” ไปประสมด้วย ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ท่านให้แปลง “” เป็น “” (อะ)

(2) ถ้าพยางค์แรกของคำที่ “” ไปประสมด้วย ขึ้นต้นด้วยสระ คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ท่านให้แปลง “” เป็น “อน” (อะ-นะ)

ในที่นี้ “ปมาณ” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ดังนั้นจึงต้องแปลง “” เป็น “

: + ปมาณ = อปมาณ ซ้อน ปฺ ระหว่างนิบาตกับคำนาม 

: > + ปฺ + ปมาณ = อปฺปมาณ (อับ-ปะ-มา-นะ) แปลว่า “สิ่งที่นับไม่ได้” 

อปฺปมาณ” ในบาลี ใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) “ประมาณไม่ได้”, วัดไม่ได้, ไม่มีที่สิ้นสุด, ไม่มีขอบเขต, ไม่มีวงจำกัด, แผ่ไปทั่ว (“without measure”, immeasurable, endless, boundless, unlimited, unrestricted all-permeating)

(2) “ไม่มีความแตกต่างกัน”, ไม่อยู่ในประเด็น, โดยทั่ว ๆ ไป (“without difference”, irrelevant, in general)

(๒) “อาภา” 

อ่านว่า อา-พา รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ยิ่ง) + ภา (ธาตุ = รุ่งเรือง) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ

: อา + ภา = อาภา + กฺวิ = อาภากฺวิ > อาภา แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่รุ่งเรืองอย่างยิ่ง” หมายถึง การส่องแสง, ความงดงาม, ความรุ่งโรจน์, แสงสว่าง (shine, splendour, lustre, light)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – 

อาภา : (คำนาม) แสง, รัศมี, ความสว่าง. (ป., ส.).”

อปฺปมาณ + อาภา = อปฺปมาณาภา แปลว่า “ผู้มีความรุ่งโรจน์นับไม่ได้” 

ในภาษาบาลี “อปฺปมาณาภา” รูปคำเดิมเป็น “อปฺปมาณาภ” ใช้เป็นคุณศัพท์ขยายคำว่า “เทวา” (เทวดาทั้งหลาย) เปลี่ยนรูปเป็น “อปฺปมาณาภา

อปฺปมาณาภา” ในที่นี้ใช้ในภาษาไทยเป็น “อัปปมาณาภา” คำนี้ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554

อภิปรายขยายความ :

อัปปมาณาภา” เป็นชื่อของพรหมชั้นที่ 5 ในรูปาวจรภูมิซึ่งมีทั้งหมด 16 ชั้น พรหม “อัปปมาณาภา” เป็นพรหมระดับทุติยฌาน กล่าวคือผู้บำเพ็ญฌานถึงระดับทุติยฌานดับขันธ์แล้วไปเกิดเป็นพรหมระดับนี้ ซึ่งมีอยู่ 3 จำพวก คือ พรหมปริตตาภา พรหมอัปปมาณาภา และ พรหมอาภัสระ หรือจะเรียกว่า ปริตตาภาพรหม อัปปมาณาภาพรหม และ อาภัสรพรหม ก็ได้

…………..

คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย ตอนอธิบายมหานิทานสูตร อธิบายเรื่องพรหม 3 จำพวกที่เกิดด้วยอำนาจทุติยฌานเหมือนกัน คือ พรหมปริตตาภา พรหมอัปปมาณาภา และ พรหมอาภัสระ เปรียบเทียบกันดังนี้ –

…………..

เตสุ  จตุกฺกปญฺจกนเยสุ  ทุติยตติยชฺฌานทฺวยํ  ปริตฺตํ  ภาเวตฺวา  อุปปนฺนา  ปริตฺตาภา  นาม  โหนฺติ  ฯ

บรรดาพรหมเหล่านั้น ผู้เจริญฌานนิดหน่อย คือทุติยฌานและตติยฌานในจตุกนัยและปัญจกนัยมาเกิด ชื่อว่าพรหมปริตตาภา

เตสํ  เทฺว  กปฺปา  อายุปฺปมาณํ  ฯ

พรหมปริตตาภานั้นมีกำหนดอายุ 2 กัป

มชฺฌิมํ  ภาเวตฺวา  อุปปนฺนา  อปฺปมาณาภา  นาม  โหนฺติ  ฯ

ผู้เจริญทุติยฌานระดับปานกลางมาเกิด ชื่อว่าพรหมอัปปมาณาภา

เตสํ  จตฺตาโร  กปฺปา  อายุปฺปมาณํ  ฯ

พรหมอัปปมาณาภานั้นมีกำหนดอายุ 4 กัป

ปณีตํว  ภาเวตฺวา  อุปปนฺนา  อาภสฺสรา  นาม  โหนฺติ  ฯ  

ผู้เจริญทุติยฌานระดับประณีตแท้มาเกิด ชื่อพรหมอาภัสระ

เตสํ  อฏฺฐ  กปฺปา  อายุปฺปมาณํ ฯ

พรหมอาภัสระนั้นมีกำหนดอายุ 8 กัป

สพฺเพสํปิ  เตสํ  กาโย  เอกวิปฺผาโรว  โหติ  ฯ

รูปร่างของพรหมทั้ง 3 ชั้นเหล่านั้นมีความผึ่งผายเป็นอย่างเดียวกันแท้

สญฺญา  ปน  อวิตกฺกวิจารมตฺตา  วา  อวิตกฺกาวิจารา  วาติ  นานา ฯ

แต่ที่ต่างกันคือวิตกและวิจารอันเป็นองค์ฌานที่บำเพ็ญมา คือบางพวกไม่มีวิตก แต่มีวิจาร บางพวกไม่มีทั้งวิตกทั้งวิจาร 

ที่มา: สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 178-179

…………..

คัมภีร์ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ตอนอธิบายมูลปริยายสูตร ขยายความไว้ว่า –

…………..

เอกตลวาสิโน  เอว  เจเต  สพฺเพปิ  ปริตฺตาภา  อปฺปมาณาภา  อาภสฺสราติ  เวทิตพฺพา  ฯ

พึงทราบว่า ปริตตาภาพรหม อัปปมาณาภาพรหม อาภัสรพรหม ทั้งหมดนี้สถิตอยู่ในชั้นเดียวกันนั่นเอง

ที่มา: ปปัญจสูทนี ภาค 1 หน้า 58

…………..

ดูก่อนภราดา!

: รัศมีไม่มีประมาณ ดี

: ความดีไม่มีประมาณด้วย ยิ่งดี

#บาลีวันละคำ (3,518)

29-1-65 

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *