หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเรา
—————
ถ้าเรียนวิชาเรื่องศาสนาอย่างเป็นวิชาการ เราก็จะต้องรู้จักคำ ๒ คำ คือ “เทวนิยม” และ “อเทวนิยม”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า –
………………………………………………….
เทวนิยม : (คำนาม) ลัทธิที่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ ทรงมีอำนาจครอบครองโลกและสามารถดลบันดาลความเป็นไปในโลก. (อ. theism).
………………………………………………….
ส่วนคำว่า “อเทวนิยม” ก็เติม น (นะ) (คำนิบาต = ไม่, ไม่ใช่) เข้าข้างหน้า แปลง น เป็น อ (อะ) [ตามกฎ: คำที่ต่อท้าย น ขึ้นต้นด้วยสระ แปลง น เป็น อน (อะ-นะ) ขึ้นต้นพยัญชนะ แปลง น เป็น อ]
“อเทวนิยม” มีความหมายตรงข้ามกับ “เทวนิยม” คือหมายถึง ลัทธิที่ไม่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ ทรงมีอำนาจครอบครองโลกและสามารถดลบันดาลความเป็นไปในโลก
“เทวนิยม” เป็นศัพท์บัญญัติจากคำอังกฤษว่า theism
“อเทวนิยม” เป็นศัพท์บัญญัติจากคำอังกฤษว่า atheism
“เทวนิยม” มีเก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔
แต่ “อเทวนิยม” พจนานุกรมฯ ยังไม่ได้เก็บไว้
(น่าแปลก! ในเมื่อเป็นศัพท์บัญญัติทั้งคู่ และคงจะบัญญัติขึ้นพร้อมๆ กัน พจนานุกรมฯ เก็บศัพท์หนึ่ง ทำไมจึงไม่เก็บอีกศัพท์หนึ่ง?)
พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล theism เป็นบาลีว่า:
issaranimmānavāda อิสฺสรนิมฺมานวาท (อิด-สะ-ระ-นิม-มา-นะ-วา-ทะ) ลัทธิที่เชื่อว่าสรรพสิ่งมีผู้ยิ่งใหญ่สร้างสรรค์
โปรดสังเกตว่า คำว่า “วาท” (วาทะ) เรามักเข้าใจกันในความหมายว่า คำพูด แต่ในภาษาบาลี “วาท” มีความหมายมากกว่า “คำพูด” ทั่วๆ ไป
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วาท” เป็นอังกฤษว่า doctrine, theory put forth, creed, belief, school, sect (คำสอน, ทฤษฎี, ความเชื่อ, หลักการเชื่อ, ลัทธิ, นิกาย)
——————-
ท่านว่าศาสนาในโลกนี้มี ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มเทวนิยม และกลุ่มอเทวนิยม
พระพุทธศาสนาของชาวเราอยู่ในกลุ่มอเทวนิยม
ถ้าแสดงท่าที่อย่างเป็นกลาง ไม่ปะทะกับใคร เราก็บอกว่า สรรพสิ่งจะมีผู้ยิ่งใหญ่สร้างสรรค์จริงหรือไม่ เราขอไม่เสียเวลาถกเถียงด้วย หลักของเราก็คือ อยากได้อะไรหรืออยากให้อะไรเป็นอย่างไร เราจะลงมือสร้างสรรค์ด้วยตัวของเราเอง ไม่รอให้ผู้ยิ่งใหญ่มาช่วย ถ้าผู้ยิ่งใหญ่จะมีแก่ใจช่วย ก็ขอบคุณ แต่เราหวังว่าเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
แต่ในกรณีที่ต้องการฟังความเห็นว่า เรามองกลุ่มเทวนิยมอย่างไร เราก็มีคำตอบ แต่ต้องฟังอย่างเปิดใจกว้าง ถ้ายังเปิดใจไม่ได้ เราก็ขอลาไปทำกิจของเราก่อน
มีข้อสังเกตว่า ศาสนากลุ่มเทวนิยมมักมีปัญหาที่จะต้องอธิบายให้ผู้อื่นเชื่อว่า สิ่งที่ตนเชื่อนั้นเป็นความจริง บางกรณีบางพวกถึงกับบังคับให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อ กลายเป็นว่ามีภาระที่จะต้องไปยุ่งกับคนอื่นที่เชื่อไม่เหมือนตน
แต่พระพุทธศาสนาไม่มีปัญหาแบบนั้นเลย
หน้าที่ของเรา-ไม่ใช่เสียเวลาอธิบายให้คนอื่นฟังสิ่งที่เราเชื่อ
แต่หน้าที่ของเราคือ ทำความเชื่อของเราให้ตรงกับความเป็นจริง (ทิฏฐุชุกรรม, ยาภูตํ ปชานาติ)
และการที่จะเห็นอะไรให้ตรงกับความเป็นจริงนั้นเราต้องเห็นด้วยตัวของเราเอง (สนฺทิฏฺฐิโก, ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ) ให้ผู้อื่นเห็นแทนไม่ได้
เมื่อเห็นความจริงประจักษ์ถูกต้องแล้ว ต่อจากนั้นเราก็ไม่ต้องเชื่อใครอีกต่อไป
ท่านว่า-ไม่ต้องเชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังได้
เราจึงไม่ต้องทะเลาะกับใครเลย นอกจากจัดการกับความเชื่อหรือความเห็นของตัวเองให้ถูกต้อง
และด้วยประการดังนี้ เราจึงเป็นอิสระจากอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
๑๘:๒๕
………………………………………….
หน้าที่ของเรา