ลาสิกขา [1] (บาลีวันละคำ 391)
ลาสิกขา [1]
(บาลีผสมคำไทย)
“สิกฺขา” ในภาษาบาลีหมายถึงการสำเหนียก, การเรียนรู้, การฝึกฝนปฏิบัติ, การเล่าเรียนให้รู้เข้าใจและฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นคุณสมบัติที่เกิดมีขึ้นในตนหรือให้ทำได้ทำเป็น ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปจนถึงความสมบูรณ์
ในคำว่า “ลาสิกขา” นี้ “สิกฺขา” หมายถึงระบบวิถีชีวิตของบรรพชิต เมื่อไม่สามารถอยู่ในวิถีชีวิตเช่นนั้นได้ ก็ออกไป เรียกว่า “ลาสิกขา”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกไว้ว่า
“ลาสิกขา : ลาสึก, ลาจากเพศสมณะ”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต อธิบายว่า
“ลาสิกขา : ปฏิญญาตนเป็นผู้อื่นจากภิกษุ ต่อหน้าภิกษุด้วยกัน หรือต่อหน้าบุคคลอื่นผู้เข้าใจความ แล้วสละเพศภิกษุเสีย ถือเอาเพศที่ปฏิญญานั้น”
คำนี้มักพูดผิดเป็น “ลาสิกขาบท”
“สิกขาบท” หมายถึงศีลแต่ละข้อ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบวิถีชีวิตของบรรพชิต “ลาสิกขาบท” จึงอาจจะยังไม่ใช่ลาวิถีชีวิตของสมณะก็ได้
“สิกฺขา” หมายถึงระบบวิถีชีวิตทั้งระบบของบรรพชิต
การออกจากความเป็นสมณะ หรือการสึก คำบาลีจึงใช้ว่า “สิกฺขาปจฺจกฺขาน” (สิก-ขา-ปัด-จัก-ขา-นะ) แปลว่า “การบอกคืนสิกขา” ไม่ใช่ “สิกฺขาปทปจฺจกฺขาน”
คำลาสิกขาว่า “นโม ฯลฯ” ๓ จบ แล้วกล่าวว่า –
“สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ, คิหีติ มํ ธาเรถ” (ว่า ๓ ครั้ง)
แปลว่า “กระผมลาสิกขา, ขอท่านทั้งหลายจงจำกระผมไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์”
อุดมการณ์ :
บวชอยู่ ก็ขอให้เป็นศรีแก่พระศาสนา
ลาสิกขา ก็ขอให้เป็นศรีแก่สังคม
บาลีวันละคำ (391)
10-6-56
ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา วินัย ปาติโมกข์ อุเทศ พระอุปัชฌายะ พระอาจารย์ ลัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ผู้ร่วมอุปัชฌายะ ผู้ร่วมอาจารย์
เพื่อนพรหมจารี
สิกฺขาปจฺจกฺขาน
ปจฺจกฺขาน นป.(พจนานุกรมศัพท์บาลี)
การกล่าวตู่, การบอกปัด, การบอกคืน.
ลาสิกขา (ประมวลศัพท์)
ปฏิญญาตนเป็นผู้อื่นจากภิกษุ ต่อหน้าภิกษุด้วยกัน หรือต่อหน้าบุคคลอื่นผู้เข้าใจความ แล้วสละเพศภิกษุเสีย ถือเอาเพศที่ปฏิญญานั้น, ละเพศภิกษุสามเณร, สึก;
คำลาสิกขาที่ใช้ในบัดนี้ คือ ตั้ง “นโม ฯลฯ” ๓ จบแล้วกล่าวว่า
“สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ, คิหีติ มํ ธาเรถ” (ว่า ๓ ครั้ง)
แปลว่า “กระผมลาสิกขา, ขอท่านทั้งหลายจงทรงจำกระผมไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์”
(คิหีติ ออกเสียงเป็น [คิ-ฮี-ติ])
ลาสิกขา
- ลาสึก, ลาจากเพศสมณะ.
อนึ่ง ภิกษุใด ถึงพร้อมซึ่งสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้ง
หลายแล้ว ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพ
เมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หา
สังวาสมิได้.
สิกฺขาปจฺจกฺขานวาเรปิ กถญฺจ ภิกฺขเวติอาทิ สพฺพํ
อตฺถโต อุตฺตานเมว ฯ ปทโต ปเนตฺถาปิ พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ
ธมฺมํ สงฺฆํ สิกฺขํ วินยํ ปาฏิโมกฺขํ อุทฺเทสํ อุปชฺฌายํ อาจริยํ
สทฺธิวิหาริกํ อนฺเตวาสิกํ สมานูปชฺฌายกํ สมานาจริยกํ
สพฺรหฺมจารึ ปจฺจกฺขามีติ อิมานิ จุทฺทส ปทานิ สิกฺขา-
ปจฺจกฺขานวจนสมฺพนฺเธน ปวตฺตานิ ฯ สพฺพปเทสุ จ วทติ
วิญฺญาเปตีติ วจนสฺส อยมตฺโถ ฯ
๑.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า
๒.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระธรรม
๓.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสงฆ์
๔.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนสิกขา
๕.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนวินัย
๖.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนปาติโมกข์
๗.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนอุเทศ
๘.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอุปัชฌายะ
๙.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอาจารย์
๑๐.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระลัทธิวิหาริก
๑๑.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอันเตวาสิก
๑๒.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ
๑๓.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์
๑๔.ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี
มหาวิภังควัณณนา สมันตปาสาทิกา ภาค ๑ หน้า ๓๕๖