วิถีชีวิตสงฆ์ (๑)
วิถีชีวิตสงฆ์ (๒)
วิถีชีวิตสงฆ์ (๒)
————–
เมื่อศึกษาความเกิดขึ้นแห่งวิถีชีวิตสงฆ์แล้วจะเห็นได้ว่า วิถีชีวิตสงฆ์เกิดขึ้นเพื่อการครองชีวิตที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติธรรม
พูดสั้นๆ ออกบวชเพราะอยู่เป็นชาวบ้านปฏิบัติธรรมไม่สะดวกไม่โปร่งใจ
วิถีชีวิตสงฆ์จึงมีเนื้อหาสาระอยู่ที่การปฏิบัติธรรม
ว่าโดยเนื้องานก็มี ๒ ส่วน คือ
๑ ศึกษาพระธรรมวินัยพระไตรปิฎก และบอกกล่าวสั่งสอนต่อไป
๒ ปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติจิตภาวนา
นี่คือ “งาน” ของผู้เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์
ไม่ทำสิ่งที่ห้ามทำและดำรงวิถีชีวิตสงฆ์ นั่นคือการจัดการสิ่งแวดล้อมหรือเตรียมความพร้อมเพื่อทำงาน ๒ เรื่องนี้
ไม่ใช่เตรียมความพร้อมไว้เฉยๆ ว่างๆ เตรียมพร้อมแล้ว แต่ไม่ทำอะไรต่อไปอีก
………………
๒๕๐๐ ปีผ่านไป เป้าหมายของวิถีชีวิตสงฆ์เบี่ยงเบนไป เพราะไม่ศึกษาสืบทอดเรียนรู้ให้เข้าใจว่าเหตุผลที่ถูกต้องในการบวชในพระพุทธศาสนาคืออะไร
และที่หนักกว่านั้นก็คือมีการอ้างหรือ “สร้าง” เหตุผลใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วเราก็พากันยอมรับว่าเหตุผลที่อ้างใหม่ๆ นั้นถูกต้อง เช่น บวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา บวชเพื่อรักษาประเพณีหรือบวชตามประเพณีเป็นต้น
เมื่ออ้างและยอมรับเหตุผลใหม่ๆ แบบนี้ บวชแล้วก็ไม่ต้องศึกษาพระธรรมวินัยและไม่ต้องปฏิบัติจิตภาวนา
และเมื่อคิดเห็นแบบนี้กันมากเข้านานเข้า การไม่ศึกษาพระธรรมวินัยและไม่ปฏิบัติจิตภาวนาก็กลายเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครเห็นว่าเสียหายอะไร
ชาววัดเองก็ไม่ว่าอะไรกัน
ชาวบ้านไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
………………
เมื่อคณะสงฆ์จัดการศึกษาให้แก่พระภิกษุสามเณร เหตุผลใหม่ของการบวชก็เพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง คือ บวชเพื่อจะได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนให้มีวุฒิทางการศึกษาเช่นเดียวกับที่ชาวบ้านเขาเรียนกัน ยังแถมด้วยว่า เป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่พลเมืองที่ด้อยโอกาส และเป็นการช่วยรัฐจัดการศึกษาให้แก่พลเมืองของประเทศอีกทางหนึ่ง
ความหมายของคำว่า “บวชเรียน” ที่แต่เดิมหมายถึงเรียนพระธรรมวินัย ก็เคลื่อนที่ไป กลายเป็นบวชเพื่อเรียนวิชาความรู้เช่นเดียวกับการศึกษาที่รัฐจัดให้แก่พลเมืองทั่วไป ต่างกันที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนทั่วไป แต่คณะสงฆ์จัดให้แก่พระภิกษุสามเณร แต่ผลที่ได้เหมือนกัน คือได้วุฒิการศึกษาชนิดเดียวกัน มีศักดิ์และสิทธิ์เหมือนกัน
การศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ และการปฏิบัติมุ่งไปที่การขัดเกลาตนเองจนถึงได้บรรลุมรรคผล ก็คลาดเคลื่อนไปจากเดิมจนแทบจะไม่เห็นร่องรอย
ในขณะที่งานในวิถีชีวิตสงฆ์ซึ่งเนื้อแท้ดั้งเดิมคือการปฏิบัติขัดเกลาตนเองจนถึงได้บรรลุมรรคผลค่อยๆ เลือนรางไปนั่นเอง ก็เกิดงานใหม่ๆ ขึ้น งานหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับของสังคมมากขึ้นก็คือ งานช่วยเหลือสังคม ดังที่คณะสงฆ์เองถึงกับกำหนดเป็นสายงานใหม่เพิ่มขึ้นจากเดิม
สายงานเดิมของคณะสงฆ์ คือ การปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ (สาธารณูปการ: การก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ทางศาสนา)
สายงานที่เพิ่มขึ้นใหม่ ๒ สาย คือ การศึกษาสงเคราะห์ และการสาธารณสงเคราะห์
เนื้องานทั้งสองสายนี้มิใช่อื่นไกลเลย คืองานช่วยเหลือสังคมโดยตรงนั่นเอง
เหตุผลของการบวชก็ยิ่งเคลื่อนที่ไปจากเดิมมากขึ้นทุกที เป้าหมายของการบวชแต่ดั้งเดิมคือบวชเพื่อขัดเกลาตนเองจนถึงได้บรรลุมรรคผล ก็ยิ่งห่างไกลออกไป จนแทบจะไม่มีใครนึกถึง
แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เกิดแนวคิดหรือค่านิยมขึ้นใหม่ว่า “อย่าเกณฑ์ให้พระไปนิพพานหมดเลย ให้พระอยู่ช่วยสังคมกันบ้างเถิด”
แนวคิดหรือค่านิยมนี้กำลังเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
พระช่วยสังคม ชาวบ้านชื่นชมยินดี
ชาววัดก็เห็นดีไปกับชาวบ้าน
………………
มีพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก เป็นพระพุทธดำรัสโดยตรง ตรัสอุปมาผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนาเหมือนท่อนไม้ลอยน้ำในแม่น้ำคงคา ซึ่งถ้าไม่มีเหตุขัดข้อง ท่อนไม้นั้นก็จะลอยออกทะเลไปในที่สุด
ผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนาก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีเหตุขัดข้องก็จะสามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลได้ที่สุด-อันเป็นเป้าหมายของการออกบวชหรือเป้าหมายของการเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์
เหตุขัดข้องที่เป็นเหตุให้ท่อนไม้ลอยไปไม่ถึงทะเลมีหลายอย่าง หนึ่งในหลายอย่างนั้นก็คือ มีคนมาลากเอาไปเสียก่อน
“มีคนมาลากเอาไปเสียก่อน” คำบาลีว่า “มนุสฺสคฺคาโห” แปลตามศัพท์ว่า “การจับเอาของมนุษย์” แปลให้ชัดกว่านี้คือ “ถูกคนมาเก็บไป”
เหตุขัดข้องที่เป็นเหตุให้ผู้ที่เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ไปไม่ถึงมรรคผลก็มีหลายอย่าง หนึ่งในหลายอย่างนั้นก็คือ “มนุสฺสคฺคาโห”
ขออัญเชิญพระพุทธพจน์ในพระสูตรที่ตรัสอธิบายความหมายของคำว่า “มนุสฺสคฺคาโห” มาแสดงไว้ในที่นี้ทั้งบาลีและคำแปล
ขอความกรุณาอย่าได้รังเกียจภาษาบาลีว่าเป็น “ภาษาแขกโบราณ” อย่างที่บางท่านเรียกขานนั่นเลย
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ท่านใช้บันทึกพระธรรมวินัย จึงเป็นภาษาของพระพุทธเจ้าโดยแท้
เวลาอ่านคำบาลีขอให้ตั้งอารมณ์ว่ากำลังสวดมนต์ ถ้าท่านเชื่อว่าสวดมนต์ได้บุญ การอ่านคำบาลีที่ยกมาจากพระไตรปิฎกก็ได้บุญเท่ากับสวดมนต์นั่นเอง
ความในพระสูตรเป็นดั่งนี้ –
………………………………………
กตโม จ ภิกฺขุ มนุสฺสคฺคาโห ฯ
ดูก่อนภิกษุ ถูกคนมาเก็บไปเป็นไฉน?
อิธ ภิกฺขุ คิหีหิ สํสฏฺโฐ วิหรติ สหนนฺทิ สหโสกี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้คลุกคลี เพลิดเพลิน โศกเศร้าอยู่กับพวกชาวบ้าน
สุขิเตสุ สุขิโต
เขาสุขก็สุขด้วย
ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต
เขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย
อุปฺปนฺเนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตโน โยคํ อาปชฺชติ ฯ
เขามีกิจกรณีย์เกิดขึ้น ก็เอาตัวเข้าร่วมไปกับเขาด้วย
อยํ วุจฺจติ ภิกฺขุ มนุสฺสคฺคาโห ฯ
ดูก่อนภิกษุ นี้เรียกว่าถูกคนมาเก็บไป
ที่มา: ปฐมทารุขันธสูตร สังยุตนิกาย สฬายตนวรรค
พระไตรปิฎกเล่ม ๑๘ ข้อ ๓๒๒-๓๒๔
………………………………………
การปฏิบัติที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัยนั้น มีสาเหตุมาจากความไม่รู้ คือไม่รู้ว่าข้อนี้มีพระวินัยบัญญัติห้ามไว้ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีพระสูตรตรัสสอนไว้
ความไม่รู้มีสาเหตุมาจากการไม่ศึกษาเรียนรู้ให้ทั่วถึง
การไม่ศึกษาเรียนรู้ให้ทั่วถึงจึงเป็นรากเหง้าใหญ่ของปัญหา
เมื่อปฏิบัติขัดแย้งกับพระธรรมวินัยกันมากเข้านานเข้า ต่อมาแม้จะรู้ว่าข้อนี้มีพระวินัยบัญญัติห้ามไว้ เรื่องนี้มีพระสูตรตรัสสอนไว้ แต่ก็ไม่เห็นโทษ กลับเห็นเป็นเรื่องปกติ เพราะทำกันทั่วไป
เวลานี้ยังอยู่ในระหว่างก้ำกึ่ง หมายความว่า แม้จะปฏิบัติขัดแย้งกับพระธรรมวินัย และยอมรับว่าทำผิด แต่ก็ยังคิดที่จะทำต่อไป ไม่งด ไม่ลด ไม่เลิก เหตุผลสำคัญคือเป็นการช่วยสังคม
ในอนาคต เมื่อค่านิยม “พระช่วยสังคมเป็นพระดี” เข้มข้นถึงขนาด ก็จะมีผู้ออกมาบอกว่า พระวินัยข้อนั้นพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ไม่เหมาะ พระธรรมข้อนั้นพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ไม่ถูก ที่พระทำอย่างนี้ๆ เป็นการถูกต้องกว่า
เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะความเคารพหนักแน่นในพระธรรมวินัยยังมีตกค้างอยู่ในใจมากพอสมควร
แต่ในอนาคตอีกไม่นาน ถึงขั้นนั้นแน่
ทางแก้คือ ถอยกลับไปศึกษาเหตุผลต้นเค้าอันเป็นรากเหง้าเป้าหมายของการออกบวชหรือการเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ แล้วดำรงเป้าหมายนั้นไว้
จะช่วยสังคมหรือจะทำอะไรอีกก็ทำไป แต่ต้องไม่ทิ้งเป้าหมายเดิม และต้องซื่อตรงต่อหลักการ –
ทำไม่ได้ อย่าเข้าไป
ทำไม่ไหว ถอยออกมา
แต่ถ้าไม่ซื่อตรงต่อหลักการ –
ทำไม่ได้ ไม่เป็นไร
ทำไม่ไหว ไม่ต้องทำ
วิถีชีวิตสงฆ์ก็จะวิปริตไปเรื่อยๆ แล้วก็จะพากันเห็นความวิปริตนั้นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา พร้อมกับพยายามหาเหตุผลมารองรับ เช่นบอกว่านั่นไม่ใช่วิปริต แต่เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
ถึงตอนนี้ ที่บอกว่า-การไม่ศึกษาเรียนรู้ให้ทั่วถึงเป็นรากเหง้าใหญ่ของปัญหา ก็อาจจะต้องพูดใหม่ว่า ทิฏฐิ-คือความคิดเห็น-นั่นต่างหากที่เป็นรากเหง้าใหญ่ของปัญหา
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕
๑๘:๓๑
…………………………………….
วิถีชีวิตสงฆ์ (๓)
…………………………………….
วิถีชีวิตสงฆ์ (๑)
…………………………………….