วันสำคัญในความฝัน
วันสำคัญในความฝัน
——————–
ปีนี้วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ที่นิยมเรียกกันว่าวันวาเลนไทน์ ไม่ตรงกับมาฆบูชา
บางปี วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ตรงกับมาฆบูชาหรือใกล้เคียงกันมาก เราก็จะได้ยินนักธรรมะอธิบายให้เห็นว่าวันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก
โอวาทปาติโมกข์อันเป็นหลักธรรมที่พระพุทธทรงแสดงในวันมาฆบูชา จะถูกอธิบายโน้มน้าวให้เป็นหลักธรรมแห่งความรักไปทั้งหมด
สำนวนที่นิยมอธิบายกันมากก็เป็นทำนองนี้ –
ถ้ามนุษย์มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และรักตนเอง
เขาก็จะไม่ทำชั่ว
เขาจะทำแต่ความดี
และเขาก็จะพยายามทำจิตของตนให้ขาวรอบ
และด้วยวิธีอธิบายแบบนี้ ดีไม่ดี พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่พระพุทธองค์ต้องใช้เวลาบำเพ็ญพระบารมีนานถึงสี่อสงไขยแสนมหากัปจึงได้ตรัสรู้ และทรงใช้เวลาหลังจากนั้นตลอดพระชนมชีพตรัสแสดงแก่ชาวโลก อาจถูกดึงให้ไปรวมลงในความรักได้ทั้งหมดด้วยซ้ำไป
เป็นอันว่าพระสัพพัญญุญาณก็ยังไม่ประเสริฐเลิศล้ำเท่าความรักของท่าน Saint อะไรท่านหนึ่งของฝรั่ง
พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหมดรวมลงในความไม่ประมาท (เย เกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต อปฺปมาทมูลกา อปฺปมาทสโมสรณา-ดู อัปปมาทวรรค สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 19 ข้อ 245-263 หน้า 62-67)
พวกเราบอกกันว่า ธรรมทั้งหมดรวมลงในความรัก
หลักมี แต่ไม่ยึดหลัก
ก็เพี้ยนกันไปหมดแหละขอรับ
ปีนี้วันมาฆบูชาไม่ตรงกับวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์
จะมีนักธรรมะอธิบายวันมาฆบูชาให้เป็นวันแห่งความรักอยู่อีกหรือเปล่า ต้องคอยฟังกัน
——————
เราท่านคงจะสังเกตเห็นได้ว่า เรากำหนดให้มีวันนั่นวันนี่ เช่น วันพ่อ วันแม่ วันครู วันเด็ก วันภาษาไทย
เราก็จะให้ความสำคัญแก่เรื่องนั้นๆ กันเพียงวันเดียว
กำหนดให้มีวันพ่อ
เราก็พูดถึงพ่อกันวันเดียว
กำหนดให้มีวันแม่
เราก็พูดถึงแม่กันวันเดียว
กำหนดให้มีวันครู
เราก็พูดถึงครูกันวันเดียว
กำหนดให้มีวันเด็ก
เราก็พูดถึงเด็กกันวันเดียว
กำหนดให้มีวันภาษาไทย
เราก็พูดถึงภาษาไทย เห็นความสำคัญของภาษาไทยกันวันเดียว
แม้แต่วันวาเลนไทน์ที่คนส่วนหนึ่งในโลกนี้-รวมทั้งคนไทย-กำหนดให้เป็นวันแห่งความรัก
เราก็พูดถึงความรักกันวันเดียว
คอยดูก็ได้
พอเลยวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ไปแล้ว
ก็จะไม่มีใครพูดถึงความรักอีกเลย-จนกว่าจะถึงปีหน้า
อันที่จริง ใครที่คิดให้มีวันนั่นวันนี่นั้นก็คิดด้วยเจตนาดี หวังจะให้เกิดผลดี คือกระตุ้นเตือนให้เห็นความสำคัญของเรื่องนั้นๆ
แต่เราปฏิบัติพลาดกันไปเอง คือไม่ได้พร่ำสอนคนของเราให้เห็นความสำคัญของเรื่องนั้นๆ ในฐานะเป็นสิ่งสำคัญประจำชีวิตจิตใจ
นั่นคือสอนให้เห็นความสำคัญและให้ปฏิบัติต่อเรื่องนั้นสิ่งนั้นในฐานะเป็นเรื่องสำคัญทุกวัน
ไม่ใช่ให้ความสำคัญเฉพาะวันนั้นวันเดียว
เพราะฉะนั้น เห็นว่าอะไรเป็นเรื่องสำคัญ
อย่าไปกำหนดให้มีวันนั้นๆ ขึ้นมาเป็นอันขาด
เพราะคนจะเห็นความสำคัญของเรื่องนั้นเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
แต่จงกระตุ้นเตือนผู้คนในสังคมให้เห็นความสำคัญของเรื่องนั้นทุกวัน-ในฐานะเป็นสิ่งสำคัญประจำชีวิตจิตใจ
——————
อีกวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันมาก แต่ทำแล้วกลายเป็นการทำลายความสำคัญของเรื่องนั้นๆ ก็คือทำในรูป “โครงการ”
ขอให้ดู “โครงการหมู่บ้านรักษาศีลห้า” เป็นตัวอย่าง
เจตนาดีของโครงการนี้ก็คือกระตุ้นเตือนให้ผู้คนเห็นความสำคัญของศีลห้า
ในระหว่างดำเนินโครงการ มีกิจกรรมต่างๆ อึกทึกครึกโครมไปทั่วประเทศ
และใช้งบประมาณไปเป็นอันมาก
พอจบโครงการ ก็ไม่มีใครพูดถึง-และไม่มีใครสนใจหมู่บ้านรักษาศีลห้ากันอีกต่อไป
หมู่บ้านรักษาศีลห้าเวลานี้ก็มีแต่ป้าย
บางหมู่บ้านป้ายก็หาไม่เจอแล้ว
อธิบายในแง่ดีก็บอกได้เพียงว่า-ก็ยังดีที่ทำให้คนพูดถึงศีลห้าอยู่ได้ตั้ง ๓ ปี และอาจมีคนรักษาศีลห้าต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้อีกจำนวนหนึ่ง (แต่ไม่มีสถิติ และที่ไม่มีสถิติก็เพราะไม่มีใครบอกให้ทำ)
ในความเห็นของผม วิธีที่จะทำให้เรื่องนั้นสิ่งนั้นเกิดผลสำเร็จยั่งยืน ก็คือต้องทำให้เป็นกิจวัตร
อะไรก็ตาม ถ้าทำให้เป็นกิจวัตร ก็ไม่จำเป็นต้องจัดให้เป็นกิจกรรมหรือทำเป็นโครงการ หรือแม้แต่กำหนดให้มีวันนั่นนี่แต่ประการใด
กระตุ้นเตือนให้รักพ่อ รักแม่ รักครู รักเด็ก รักภาษาไทยกันทุกวัน
กระตุ้นเตือนให้เห็นความสำคัญของพ่อ ของแม่ ของครู ของเด็ก ของภาษาไทยในชีวิตประจำวัน
ถ้าไม่ทำอย่างนี้
กำหนดให้มีวันอะไรสักกี่วันก็ไม่มีความหมาย
——————
อย่างเรื่องรักษาศีลห้า ผมขอเสนอวิธีที่คณะสงฆ์ควรทำอย่างยิ่ง นั่นคือกำหนดนโยบายให้ทุกวัดจัดทำบุญวันพระตลอดทั้งปี
พอพูดอย่างนี้ หลายวัดจะตอบทันทีว่า ทำไม่ได้
ความคิดว่า “ทำไม่ได้” นั่นเอง คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ทำไม่ได้
ญาติมิตรโปรดทราบว่า ประเพณีชาวพุทธในเมืองไทย ในระหว่างเข้าพรรษาจะมีการทำบุญที่วัดทุกวันพระ ตั้งแต่เข้าพรรษาไปจนถึงสิ้นฤดูกฐิน คือกลางเดือน ๑๒ เป็นวันพระสุดท้าย แล้วก็หยุด ไปเริ่มกันใหม่เมื่อเข้าพรรษาปีหน้า
วัดทั่วไปนิยมทำกันอย่างที่ว่านี้
แต่มีบางวัด-หลายวัด จัดให้มีทำบุญวันพระตลอดทั้งปี
อย่างเช่นวัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรีบ้านผม
เมื่อก่อนก็เหมือนวัดทั่วไป คือทำบุญทุกวันพระเฉพาะระหว่างเข้าพรรษา พอออกพรรษาก็เลิก
ต่อมามีผู้เสนอแนะให้ทดลองเชิญชวนญาติโยมว่า ออกพรรษาแล้วก็ขอให้มาทำบุญกันต่อไป
ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า จะมีคนมารึ แต่ท่านก็เห็นด้วย
ปรากฏว่า ก็มีคนมาทำบุญวันพระต่อเนื่องกันทุกวันพระตลอดทั้งปีจนกระทั่งทุกวันนี้
เป็นที่รู้กันว่าวัดมหาธาตุราชบุรีทำบุญวันพระตลอดปี
กลายเป็นประเพณีของชาวบ้าน
เป็นเหมือนสมบัติของชุมชน
และที่แน่ๆ มีคนมาถือศีลเต็มศาลาทุกวันพระ
ไม่ต้องยกป้าย
ไม่ต้องทำโครงการ
ไม่ต้องใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว
เป็นการถือศีลที่ยั่งยืน เพราะทำกันทั้งปี ทำกันตลอดไป
ใครมายกเลิกก็ไม่ได้ เพราะเป็นสมบัติของชุมชน
และที่ประเสริฐมากๆ ก็คือ มีโรงเรียนเทศบาลตั้งอยู่ภายในวัดมหาธาตุ หลวงพ่อท่านให้นโยบายแก่ผู้บริหารไปว่า วันพระที่ไม่ตรงกับวัดหยุด ขอให้โรงเรียนจัดเด็กหมุนเวียนกันมาร่วมพิธีทำบุญวันพระด้วย
ผู้บริหารชุดนี้ก็รับลูกดีจริงๆ จัดเด็กมาร่วมทำบุญตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก ชั้นอนุบาล ไปจนถึงมัธยม หมุนเวียนกันมาทุกวันพระ
และไม่ใช่จัดมาเฉพาะเด็ก ครูก็มาด้วย
ตัว ผอ.เองนั้นมาร่วมทำบุญทุกวันพระ
หลวงพ่อท่านบอกว่า เด็กๆ อาจจะยังไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรมาก สั่งให้มาก็มา และมาแล้วก็อาจจะเล่นกันบ้าง ไม่เรียบร้อยไปบ้าง ก็ขอให้ทนๆ เอาหน่อย พอเขาโตขึ้นเขาจะระลึกได้ เกิดความผูกพัน เขาจะรักวัด ห่วงวัด รักพระศาสนา และจะรักษาพระศาสนาสืบต่อไป
เป็นกิจวัตรที่ควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่ง
ไม่ใช่มีคนถือศีลห้าแค่ ๓ ปี
แต่เป็นการสร้างทายาทรักษาพระศาสนาให้ยั่งยืนตลอดกาลนานเทอญ
ผมจึงขอเสนอว่า ให้คณะสงฆ์กำหนดนโยบายให้ทุกวัดจัดทำบุญวันพระตลอดทั้งปี
จะทำได้หรือไม่ได้ ทำได้มากได้น้อย ไม่เป็นประมาณ
เพียงแต่ขอให้รับรู้กันว่า-เป็นนโยบาย
และเป็นนโยบายยืนตลอดไป
ก็เหมือนสมัยหนึ่งที่รู้กันว่า พระสังฆาธิการรูปไหนสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างโรงเรียน คณะสงฆ์จะพิจารณาความดีความชอบเป็นพิเศษ เสนอให้ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ
พระสมัยหนึ่งนั้นก็ขยันสร้างกันจริงๆ
แล้วก็ได้รับสมณศักดิ์กันจริงๆ
เราก็ใช้นโยบายแบบเดียวกัน
วัดไหนมีการทำบุญวันพระทั้งปี ชักชวนญาติโยมให้มาทำบุญถือศีลที่วัดได้ทั้งปี คณะสงฆ์จะพิจารณาความดีความชอบเป็นพิเศษ
แต่ผลต่างก็คือ สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ก็เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำความดี สร้างแล้วไม่มีคนมาทำความดีให้คุ้มค่า จะมีประโยชน์อะไร (หลายๆ วัด ณ เวลานี้ โบสถ์ศาลากลายเป็นที่อยู่ของนกพิราบ หาพระเณรมาดูแลรักษาทำความสะอาดก็แทบจะไม่ได้)
แต่การชักชวนคนไปทำบุญวันพระเป็นตัวทำความดีตรงๆ เป็นการพิสูจน์ว่ามีคนไปทำความดีแน่ๆ
ส่วนสมณศักดิ์ที่จะพึงได้ ก็เป็นเพียงสมบัติส่วนตัวของผู้สร้าง คนอื่นๆ ไม่พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
แต่การชวนคนไปทำบุญทุกวันพระเป็นการทำให้ผู้คนได้สร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเขาเอง คนเหล่านั้นได้ประโยชน์แน่ๆ-แม้ตัวผู้ชวนจะไม่ได้รับสมณศักดิ์อะไรเลย แต่ก็ได้บุญไปด้วย
ผลพลอยได้ที่อาจเกินคาดก็คือ วันพระจะกลับมาเป็นวันสำคัญของชาวพุทธ-เหมือนในอดีตกาล
——————
ผมรู้ดีว่าข้อเสนอนี้เป็นแค่ความฝัน
เพราะผู้บริหารการพระศาสนาทุกวันนี้ไม่รับฟังข้อเสนอใดๆ
แม้รับฟังก็ไม่เห็นด้วย
เห็นด้วยก็ไม่เอาไปทำ
เอาไปทำก็ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไร้วิญญาณ
แต่ก็ขอเสนอไว้ เผื่อเทวดาที่รักษาพระศาสนาท่านอาจจะได้ยินบ้าง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
๑๖:๔๑
————–
[๒๕๓] สาวตฺถีนิทานํ ฯ เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ยานิ กานิจิ ชงฺคลานํ ปาณานํ ปทชาตานิ สพฺพานิ ตานิ หตฺถิปเท สโมธานํ คจฺฉนฺติ หตฺถิปทํ เตสํ อคฺคมกฺขายติ ยทิทํ มหนฺตตฺเตน ฯ เอวเมว โข ภิกฺขเว เย เกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต อปฺปมาทมูลกา อปฺปมาทสโมสรณา อปฺปมาโท เตสํ ธมฺมานํ อคฺคมกฺขายติ ฯ อปฺปมตฺตสฺเสตํ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน ปาฏิกงฺขํ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวสฺสติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตีติ ฯ
ปทสูตร
กุศลธรรมทั้งปวงมีความไม่ประมาทเป็นมูล
[๒๕๓] สาวัตถีนิทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ผู้สัญจรไปบนแผ่นดิน ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งหมดนั้นย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้างบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งหมดนั้นมีความไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้ไม่ประมาทพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
ปทสูตร สํ. มหาวารวคฺโค พระไตรปิฎกเล่ม 19 ข้อ 253 หน้า 65
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล เล่ม 30 หน้า 132
อัปปมาทวรรค สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 19 ข้อ 245-263 หน้า 62-67
[๓๗๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร คือ ความไม่ประมาท.
ดูก่อนมหาบพิตร รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายที่สัญจรไปบนแผ่นดิน
ชนิดใดชนิดหนึ่ง รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมรวมลงในรอยเท้าช้าง รอย
เท้าช้าง ย่อมกล่าวกันว่า เป็นเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นของใหญ่
ข้อนี้มีอุปนา ฉันใด ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์
ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ในภายหน้า คือความไม่ประมาท
ก็มีอุปไมยฉันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 479
๗. ปฐมอัปปมาทสูตร
————–
วันวาเลนไทน์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วันนักบุญวาเลนไทน์ (อังกฤษ: Saint Valentine’s Day) หรือที่มักเรียกว่า วันวาเลนไทน์ (อังกฤษ: Valentine’s Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี วันวาเลนไทน์มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม
“วันนักบุญวาเลนไทน์” แต่เดิมเป็นเพียงวันฉลองนักบุญในศาสนาคริสต์ยุคแรกที่ชื่อ วาเลนตินัส (แต่นักบุญชื่อนี้มีหลายองค์) ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่นั้นกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น วันวาเลนไทน์ถูกำหนดขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนจะถูกลบออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไปของโรมัน (General Roman Calendar of saints) ในปี ค.ศ. 1969 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6
วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ช่วงกลางสมัยกลาง (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนา มาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน[1][2]
…………………………….
…………………………….