วันลูก
วันลูก
——
ผมมีพ่อแม่ ๓ คนหรือจะเรียกว่า ๓ คู่น่าจะถูกต้องกว่า
พ่อแม่คู่ที่ ๑ คือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่
แม่ตายเมื่อผมอยู่ ป. ๒ พ่อตายเมื่ออยู่ ป.๔ ตอนนั้นผมยังเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ได้เพราะยังเป็นเด็กมาก พ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงผม
ครั้นเมื่อผมเติบโตเลี้ยงตัวเองได้แล้ว และพอจะเลี้ยงพ่อแม่ได้ ผมก็ไม่มีพ่อแม่อยู่ให้เลี้ยง
เห็นใครเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ผมอยากตะโกนดังๆ แบบนักเลงปากท่อว่า
“อิจฉาโว้ย!”
งานวัด ไอ้หนุ่มคนไหนกำลังจีบสาว แล้วมีคนตะโกนขึ้นมาลอยๆ ว่า “อิจฉาโว้ย!”
รับรองได้ว่าอีกสักพักต้องมีการตีกัน
ปากท่อ-เป็นอำเภอที่ผมเกิด อำเภอนี้สมัยผมเป็นเด็กนักเลงเยอะ มีงานวัดที่ไหน มักมีนักเลงนัดไปตีกัน
การนัดไปตีกันในวัดในสมัยโน้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะวัดเป็นแหล่งชุมชน มีงานมีการอะไรก็ไปจัดกันที่วัด เมื่อคนไปชุมนุมกันมากๆ โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว ก็ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา
นักเลงปากท่อตีกัน ล่อกันพอหอมปากหอมคอ
ตีกันแค่พอให้เจ็บและให้อาย
คำพูดในภาษาไทยที่ว่า “ทั้งเจ็บทั้งอาย” คงมีที่มาจากวัฒนธรรมตีกันของนักเก่าสมัยโน้น
ไม่ทำกันถึงตายเหมือนสมัยนี้
นักเลงปากท่อตีกันอย่างมีระเบียบ ถ้าเป็นงานกฐินผ้าป่า เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงลงมือตีกัน
ถ้ามีมหรสพกลางคืน พอลิเกลงโรงได้สักพัก หรือหนังฉายไปได้สักม้วนหนึ่ง ก็ค่อยตีกัน
ตีกันเสร็จก็ดูหนังดูลิเกกันต่อ
ที่ว่ามานี้ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่ผมเคยเห็นและบางทีก็เคยอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เห็นใครเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ผมอิจฉาจริงๆ
ผมประทับใจคนเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่มาตั้งแต่ตอนบวชเณร มีหนุ่มคนจีนบ้านอยู่ใกล้วัด ปรนนิบัติดูแลแม่เป็นอย่างดี มาวัดทีไรก็มาคุยเรื่องเลี้ยงแม่ให้ฟัง ผมฝังใจมาตั้งแต่นั้นว่าคนจีนนี่ยอดกตัญญู
เวลานี้หลานคนหนึ่งที่ปากท่อก็ดูแลแม่-คือพี่สะใภ้ผม-ที่นอนติดเตียงมาจะร่วม ๑๐ ปีแล้ว
ทหารเรือคนหนึ่งที่คุ้นกับผมมาก นี่ก็เลี้ยงแม่เป็นอันดับหนึ่ง แม่เป็นอัลไซเมอร์ ดูแลแม่เรียบร้อยแล้วจึงไปทำงาน เลิกงานไม่ไปไหน กลับมาดูแลแม่
ซักผ้าขี้ สีผ้าเยี่ยว ให้แม่ทุกอย่าง
เด็กไทยสมัยนี้จะรู้จักสำนวนนี้กันหรือเปล่า-ซักผ้าขี้ สีผ้าเยี่ยว
ผมบอกเขาว่า “กูอิจฉามึงฉิบหายเลย”
ตอนแม่ตาย โทรมาบอกผม ร้องไห้เหมือนเด็กๆ
เพื่อนทางเฟซบุ๊ก ทั้งที่เคยพบกันและเคยเห็นแต่รูป หลายคนก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เป็นกิจวัตรประจำชีวิต รู้เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้
การเลี้ยงพ่อแม่นั้นเป็นงานไม่หนัก แต่ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงยิ่ง
เวลาใดที่ความอดทนลดลง ความหงุดหงิดจิตเป็นอกุศลจะเกิดได้ง่ายและเกิดบ่อยๆ
บุญที่เกิดจากการเลี้ยงพ่อแม่ก็จะลดลงตามส่วน
คนที่เอาชนะความหงุดหงิดรำคาญลงได้ ดูแลพ่อแม่ด้วยจิตใจที่ผ่องใสตลอดเวลา จะเกิดมหากุศลเทียบเท่ากับได้ปรนนิบัติบำรุงพระอรหันต์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ผมไม่มีโอกาสเลี้ยงพ่อแม่ แต่ยังไม่หมดหนทาง เพราะการเลี้ยงพ่อแม่วิธีสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาสอนไว้คือ-เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน
ผมทำบุญอุทิศให้พ่อแม่ทุกวัน กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณท่านทุกวันไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว และวันหนึ่งๆ ระลึกถึงหลายครั้ง
——————
พ่อแม่คู่ที่ ๒ ของผม คือพระพุทธศาสนาและวัด
ถ้าสังคมไทยไม่มีพระพุทธศาสนาและไม่มีวัด ป่านนี้ผมจะไปเป็นอะไรอยู่ที่ก็ไม่รู้ อาจเป็นหัวขโมย เป็นโจร ติดคุกติดตะราง หรือถูกนักเลงเสียบตายไปนานแล้วก็ได้
แต่ที่แน่ๆ ผมคงทำบาปทำอกุศลต่างๆ ติดตัวเต็มไปหมด
แทนที่จะกำลังนั่งเขียนเรื่องนี้-ผมอาจจะกำลังนั่งร่ำสุรา เมากรึ่มอยู่กลางทุ่งกลางทางที่ไหนสักแห่งแถวๆ ปากท่อ
หนทางวิธีที่จะทำบุญกุศลทำความดีให้แก่ชีวิตนี้และเป็นเสบียงติดตามตนไปในภพเบื้องหน้า ตลอดจนวิธีที่จะพัฒนาขัดเกลาตัวเองให้สะอาด สงบ สว่าง ผมก็คงจะไม่รู้จัก หรือรู้ผิดๆ ถูกๆ และผิดมากกว่าถูก กำลังเงอะงะงมงายอยู่ที่ไหนก็เหลือที่จะคาดเดา
ผมเป็นเด็กวัด ๕ ปี เป็นสามเณร ๔ ปี เป็นพระ ๑๐ ปี
พูดเลียนสำนวนการเมือง ก็ต้องพูดว่า ผมมีวันนี้เพราะพระท่านให้
พระพุทธศาสนาและวัดจึงเป็นเสมือนพ่อแม่ของผมอีกคู่หนึ่ง
ผมตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คู่นี้ทุกวัน ด้วยการ –
ศึกษาเล่าเรียน
พากเพียรปฏิบัติ
เคร่งครัดบำรุง
มุ่งหน้าเผยแผ่
แก้ไขให้หมดจด
(ถอดความจากคุณสมบัติของพุทธบริษัทตามพระพุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตร)
นับเป็นมหากุศลที่ผมได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีศรัทธาเลื่อมใส และมีกำลังกายกำลังใจปฏิบัติดำเนินตาม
ผมจะทำเช่นนี้ไปจนตลอดชีวิต และตั้งความปรารถนาขอให้ได้ทำเช่นนี้ทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะถึงความพ้นทุกข์คือพระนฤพาน
——————
พ่อแม่คู่ที่ ๓ ของผม คือทางราชการ-โดยเฉพาะกองทัพเรือ
ผมเคยทำงานเอกชน (มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ) ซึ่งมีกฎการทำงานแบบเข็มข้น ฝึกคนให้ทนงานและชื่อตรงกับงาน เคยรับราชการพลเรือน (หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร) และรับราชการทหาร (กองทัพเรือ)
ผมจึงโชคดีที่ได้รับรู้รสชาติของระบบงาน และเข้าถึงจิตใจของคนทำงานทั้ง ๓ ระบบ
โดยเฉพาะระบบทหารที่ฝึกคนให้เป็นผู้ตามที่ดีและให้เป็นผู้นำที่เด็ดขาด
และโดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่ฝึกฝน ให้โอกาสผมได้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานรับใช้กองทัพมาจนเกษียณอายุราชการ ให้มีหน้ามีตาอยู่ในสังคมได้พอสมควร และเลี้ยงดูไม่ให้อดตายอยู่จนทุกวันนี้
กล่าวได้ว่าที่ผมไม่ต้องห่วงเรื่องการทำมาหากิน ทำให้สามารถใช้เวลาทั้งหมดไปเพื่อทำหน้าที่ด้านอื่นๆ ได้เต็มเวลา ก็เพราะพ่อแม่คู่นี้
ผมปวารณารับใช้กองทัพเรือ-ตราบเท่าที่ยังมีความสามารถ-ตลอดชีวิต
ขอบพระคุณกองทัพเรือที่-แม้ผมจะเกษียณออกมาอยู่ข้างนอกแล้วก็ยังเรียกใช้งานตามโอกาส
ลูกที่พ่อแม่ยังเรียกใช้งาน ผมถือว่าโชคดีมากๆ
——————
บ้านเรามีวันพ่อ วันแม่ วันครู แล้วก็วันนี้-วันเด็ก
บางคนไม่ได้เป็นพ่อ
บางคนไม่ได้เป็นแม่
บางคนไม่ได้เป็นครู
ทุกคนแม้จะต้องเป็นเด็ก แต่ก็เป็นแค่เพียงช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นเด็กอยู่ตลอดชีวิต
แต่เรามีสถานะเป็น “ลูก” กันทุกคน
ไม่มีใครเลยที่ไม่ได้เป็นลูก
และความเป็นลูกนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
เราทุกคนมีสถานะเป็น “ลูก” ตั้งแต่เกิดจนตาย
นั่นแปลว่า เราทุกคนมีโอกาสที่จะได้บำเพ็ญกรณีย์ตามหน้าที่ของลูกกันไปตลอดชีวิต
และนั่นแปลว่า ถ้าเราฉลาดพอ เราจะมีโอกาสกอบโกยเอาบุญกุศลมหากุศลทั้งปวงเข้ามาไว้ในชีวิตได้ตลอดชีวิต แล้วเผื่อแผ่ให้แก่เพื่อนร่วมโลกได้เสมอ และสั่งสมไว้เป็นเสบียงติดตามตนไปในสังสารวัฏจนกว่าจะประลุถึงความสิ้นภพจบชาติ
แม้ทางบ้านเมืองจะไม่ได้กำหนดให้มี “วันลูก” แต่เราทุกคนสามารถกำหนดให้ทุกวันเป็น “วันลูก” ได้ด้วยตัวของเราเอง ด้วยการบำเพ็ญกรณีย์ บำเพ็ญคุณความดีตามหน้าที่ ให้สมกับที่เราเป็น “ลูก”
“วันลูก” ไม่ต้องทำวันเดียวแล้วเลิกเหมือนวันอื่นๆ
ทำหน้าที่ของลูกที่ดีทุกวัน
มี “วันลูก” ที่ดีได้ทุกคน
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๓ มกราคม ๒๕๖๑
๑๒:๐๑
…………………………….
…………………………….