บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

สิ่งที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์

สิ่งที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์

—————————

เมื่อเช้าวันก่อนโน้น (๑๔ กันยายน ๒๕๖๑) ผมเดินออกกำลังตามปกติ ผมเดินไปทางแยกประปา กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปทางวัดช่องลม ข้างหน้าผมมีเด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวนักเรียน สะพายกระเป๋านักเรียน เมื่อเดินไปทัน ผมถามว่า อยู่ ท.๒ หรือครับ (ท.๒ = โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดช่องลม จังหวัดราชบุรี) 

เด็กตอบว่า ครับ 

ผมถามว่า กินข้าวมาหรือยังครับ 

เด็กตอบว่า ยังครับ กินที่โรงเรียน 

“กินที่โรงเรียน” หมายถึงไปซื้อกินที่โรงเรียน 

——————–

เมื่อวันก่อนอีกเหมือนกัน ผมดูหนังฝรั่งเรื่อง Like Father ชื่อไทยว่า ลูกสาวพ่อ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง พ่อทิ้งไปตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ เธอจึงเกลียดพ่อฝังใจ เธอทำงาน บ้างาน แม้นาทีที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานก็ยังโทรศัพท์สั่งงาน จึงถูกเจ้าบ่าวปฏิเสธกลางงานแต่ง แม้พ่อจะมาตามง้อก็ไม่ยอมดีด้วย

เรื่องราวส่วนใหญ่ดำเนินไปบนเรือสำราญขนาดมหึมาเหมือนตึกลอยน้ำ มีคู่บ่าวสาวใช้เป็นที่ฮันนีมูนหลายคู่ เธอกับพ่อไปอยู่บนเรือในฐานะคู่ฮันนีมูนเพราะเหตุการณ์พาไป บนเรือนี้เธอรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง เพียงชั่วโมงเดียวก็ไป “นอนกัน” 

โครงเรื่องของหนังเป็นเรื่องธรรมดาๆ หนังพยายามเสนอรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเรือสำราญที่ค่อยๆ คลี่คลายทำให้ลูกสาวกับพ่อเข้าใจกันได้ในที่สุด

——————–

ที่เอาหนังเรื่องนี้มาพูดก็เพราะมีบางประเด็นที่ผมคิดคำนึงเมื่อได้ยินคำตอบ “กินที่โรงเรียน” ของเด็กคนนั้น 

เมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว เด็กกินข้าวแล้วจึงไปโรงเรียน

แต่เดี๋ยวนี้เด็กส่วนใหญ่คงจะ “กินที่โรงเรียน” เพราะบ้านส่วนมากไม่ได้หุงข้าวทำกับข้าวกินเอง แต่ใช้ระบบ “ทุกมื้อซื้อกิน” สะดวกกว่า 

เป็นที่แน่นอนว่า ผู้หญิงในสมัยนี้และสมัยต่อไปไม่ต้องรู้เรื่องการบ้านการเรือนกันอีกแล้ว 

หุงข้าว ทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างชาม ซักเสื้อผ้า รีดผ้า ฯลฯ 

และต่อไปก็คงถึง-วิธีเลี้ยงลูก ก็ไม่ต้องรู้ เพราะไม่ต้องเลี้ยงเอง

สรุปว่างานบ้านทั้งสิ้น มีระบบอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน 

วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป 

แนวคิดและค่านิยมหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่อง-อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร

ไปจนถึง-อะไรคือสาระของชีวิต 

——————–

ดูหนังเรื่องนั้นแล้วก็เห็นได้ว่า สังคมมนุษย์เปลี่ยนไป

ในสังคมฝรั่งทุกวันนี้ –

(๑) การหย่าร้างเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด คู่ไหนแต่งแล้วไม่หย่าสิ ผิดปกติ 

และหย่าครั้งสองครั้งก็นับว่ายังน้อยไป

(๒) ผลที่ตามมาก็คือ เด็กที่ครอบครัวแตกแยกมีมากขึ้น และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าคิดว่า ในที่สุดแล้วผู้คนที่เราเห็นอยู่ในสังคมนั้น ชี้แทบจะไม่ผิดตัวว่ามาจากครอบครัวที่แตกแยก

(๓) การที่หญิงชายจะไป “นอนกัน” เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด รู้จักกันแค่ชั่วโมงครึ่งชั่วโมงก็ชวนกันไป “นอนกัน” ได้แล้ว 

เป็นเรื่องธรรมดาเท่ากับไปเข้าห้องน้ำครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง

เสร็จแล้วก็-ต่างคนต่างไป ไม่มีอะไรที่จะต้องผูกพันกัน

พูดหยาบๆ เหมือนสัตว์หลายๆ ชนิดที่สมสู่กันแล้วก็ต่างตัวต่างไป

นึกถึงค่านิยม “รักนวลสงวนตัว” ของหญิงไทยในอดีต แค่ “ถูกเนื้อต้องตัว” หรือ “จับมือถือแขน” ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเสียหายอย่างยิ่ง

ค่านิยมเช่นนี้จะเหลือเพียงตำนานเอาไว้พูดเล่นกันเท่านั้น 

(๔) พ่อแม่กับลูกที่ไม่มีความผูกพันกันนับวันจะมีมากขึ้น

ระบบครอบครัวของชาวตะวันตกกับชาวตะวันออกแตกต่างกัน ข้อนี้เป็นที่รับรู้กันมานานแล้ว 

ครอบครัวไทย ลูกๆ เลี้ยงพ่อแม่ไปจนแก่เฒ่า สำนวน “ซักผ้าขี้สีผ้าเยี่ยว” “ฝากผีฝากไข้” ก็มาจากวัฒนธรรมนี้

ลูกหลานเห็นพ่อแม่เลี้ยงปู่ย่าตายายเป็นตัวอย่าง ก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ของตัวต่อๆ กันไปเป็นลูกโซ่

ตรงตามพระบาลีในสิงคาลกสูตรที่ว่า “ภโต เนสํ ภริสฺสามิ” = ท่านเลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบ 

สังคมก็ดำเนินไปได้ด้วยดีเหมือนห่วงโซ่ที่คล้องกันไว้-จากรุ่นสู่รุ่น

แต่ครอบครัวฝรั่ง พ่อแม่เลี้ยงลูกโตแล้ว ลูกก็แยกตัวไปตั้งครอบครัวของตัวเอง ปล่อยพ่อแม่ไว้ตามลำพัง จะมาหาพ่อแม่ก็เฉพาะในเทศกาลพิเศษปีละไม่กี่ครั้ง 

ลูกมีลูกก็เข้ารอยเดียวกัน คือพอโตก็แยกไป ปล่อยพ่อแม่ไว้ตามลำพังอีกเช่นกัน 

เดี๋ยวนี้สังคมไทยก็กำลังจะตามอย่างฝรั่ง ดังจะเห็นได้ว่าบ้านที่พ่อแม่อยู่กัน “สองคนตายาย” นับวันจะมีมากขึ้น

แต่ทุกวันนี้ฝรั่งก็กำลังจะก้าวต่อไปอีก นั่นคือ พ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกและลูกที่ไม่รู้จักพ่อแม่มีมากขึ้น แม้โตขึ้นจะรู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก แต่ก็ไม่มีความผูกพันใดๆ เจอกันก็พูดกันธรรมดา แม้แต่คำเรียกขานก็เรียกคุณ-ผม-ฉัน ตามปกติเหมือนคนทั่วไป (ในครอบครัว ฝรั่งเรียกพ่อว่า dad เรียกแม่ว่า mom) สุขทุกข์อะไรก็ไม่มีใจที่จะนึกถึงกัน – พ่อแม่ลูกแบบนี้เริ่มจะมีมากขึ้น และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ 

ขอให้นึกถึงสัตว์ที่เราเห็นๆ กันอยู่ สัตว์มันรู้จักพ่อแม่เมื่อมันยังเล็กอยู่ พอโตมันก็ไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกของมัน 

ถ้ามนุษย์ในโลกเป็นแบบนี้กันหมด สังคมมนุษย์จะเป็นเช่นไร?

——————–

หนังไม่ใช่เรื่องจริง 

แต่หนังก็สร้างจากเรื่องจริงหรือสภาพชีวิตที่เกิดขึ้นจริงในสังคมนั่นเอง และชีวิตคนจริงๆ ที่เรารู้เห็นกันในสังคมก็มีให้เห็นเช่นนั้นจริงๆ 

และด้วยความก้าวหน้าของการติดต่อสื่อสาร เรื่องราวเช่นนั้นก็ย่อมจะแพร่หลายไปได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เกิดการทำตามกัน เอาอย่างกัน กลายเป็นค่านิยมของผู้คน และถือกันว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่เห็นจะแปลก และไม่เห็นจะเสียหายอะไร

วิถีชีวิตคนจึงเริ่มจะกลับไปเหมือนสัตว์เข้าไปเรื่อยๆ 

——————–

ในที่สุดผมก็นึกถึงภาษิตบทนี้ —

อาหารนิทฺทา  ภยเมถุนญฺจ

สามญฺญเมตปฺปสุภี  นรานํ

ธมฺโมว  เตสํ  อธิโก  วิเสโส

ธมฺเมน  หีนา  ปสุภี  สมานา.

กิน นอน กลัว สืบพันธุ์

มีเสมอกันทั้งคนและสัตว์

ธรรมะทำให้คนประเสริฐเหนือสัตว์

ทิ้งธรรมะ คนก็ต่ำเท่ากับสัตว์

………….

วันที่ ๖๒ เบื้องหน้าแต่พรรษากาล

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๗ กันยายน ๒๕๖๑

๑๑:

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *