อสฺสมํส (บาลีวันละคำ 3,649)
อสฺสมํส
เนื้อม้า : เนื้อต้องห้ามชนิดที่ 3
เขียนแบบบาลี อ่านว่า อัด-สะ-มัง-สะ
แยกศัพท์เป็น อสฺส + มํส
(๑) “อสฺส”
อ่านว่า อัด-สะ รากศัพท์มาจาก –
(1) อสฺ (ธาตุ = กิน; ซัด, ขว้าง) + อ (อะ) ปัจจัย, ซ้อน สฺ ระหว่างธาตุกับปัจจัย
: อสฺ + สฺ + อ = อสฺส แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้กินเนืองๆ” (2) “ผู้ทิ้งไป” (คือวิ่งแซงสัตว์อื่นไป)
(2) น (คำนิบาต = ไม่, ไม่ใช่) + สี (ธาตุ = นอน) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง น เป็น อ, “ลบสระหน้า” (คือ สี + อ, สี อยู่หน้า อ อยู่หลัง, “ลบสระหน้า” คือลบ อี ที่ สี : สี > ส), ซ้อน สฺ ระหว่างบทหน้ากับธาตุ (น [ > อ] + สฺ + สี)
: น > อ + สฺ + สี = อสฺสี > อสฺส + อ = อสฺส แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไม่นอน”
“อสฺส” (ปุงลิงค์) หมายถึง ม้า (a horse)
ข้อสังเกต :
ตามคำแปลตามศัพท์ แสดงธรรมชาติของม้า 3 อย่างคือ (1) ม้าเป็นสัตว์ที่กินตลอดเวลา (2) ม้าเป็นสัตว์วิ่งได้เร็ว (3) ม้าเป็นสัตว์ที่ไม่นอน
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “อัส-” (มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) และ “อัสสะ” ไว้ บอกไว้ว่า –
“อัส-, อัสสะ : (คำแบบ) (คำนาม) ม้า. (ป.; ส. อศฺว).”
หมายเหตุ: “คำแบบ” หมายถึง คำที่ใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่คำพูดทั่วไป
บาลี “อสฺส” สันสกฤตเป็น “อศฺว” คำที่เราออกจะคุ้นกันดีคือ “อัศวิน” ก็ไปจาก “อศฺว”
“อัศวิน” เทียบเป็นบาลีเท่ากับ “อสฺสี” แปลว่า “ผู้มีม้า” หมายถึง ผู้ขี่ม้า (a rider on horseback)
เทียบคำพอให้เห็นการกลายรูป :
บาลี : อสฺส
สันสกฤต : อศฺว
บาลี : อสฺส > อสฺสี = ผู้มีม้า, ผู้ขี่ม้า
สันสกฤต : อศฺว > อศฺวินฺ = ผู้ขี่ม้า (a horseman)
ดังนั้น : อสฺส > อศฺว > (อสฺสี) > อศฺวินฺ > อัศวิน จึงหมายถึง ผู้ขี่ม้า
“อัศวิน” ถ้าแปลเป็นอังกฤษ เราก็ต้องนึกถึงคำว่า knight
พจนานุกรม สอ เสถบุตร แปล knight ในความหมายแรกว่า ตัวม้าในหมากรุก
เข้าใจว่าเพราะความหมายนี้เอง เราจึงบัญญัติคำว่า “อัศวิน” เป็นความหมายของ knight
พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล knight เป็นบาลีว่า –
(1) vīruttama วีรุตฺตม (วี-รุด-ตะ-มะ) = สุดยอดผู้กล้าหาญ
(2) mahāyodha มหาโยธ (มะ-หา-โย-ทะ) = นักรบผู้ยิ่งใหญ่
โปรดสังเกตว่า คำแปล knight เป็นบาลีไม่มีศัพท์ที่หมายถึง “ม้า”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อัศวิน : (คำนาม) นักรบขี่ม้า, นักรบที่กล้าหาญ, ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นคนเก่ง; ชื่อเทวดาคู่หนึ่งซึ่งทรงรถนําหน้ารถพระอาทิตย์มาก่อนเวลารุ่งสาง เป็นบิดาของนกุลและสหเทพในมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ. (ส.).”
ในที่นี้เขียนตามรูปบาลีเป็น “อสฺส”
(๒) “มํส”
อ่านว่า มัง-สะ รากศัพท์มาจาก มนฺ (ธาตุ = รู้) + ส ปัจจัย, แปลง นฺ ที่สุดธาตุเป็นนิคหิต (มนฺ > มํ)
: มนฺ + ส = มนส > มํส (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันคนรู้จัก” หมายถึง เนื้อคน, เนื้อสัตว์ (flesh, meat)
“มํส” ในภาษาไทยใช้เป็น “มังส” และอิงสันสกฤตเป็น “มางสะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“มังส-, มังสะ, มางสะ : (คำนาม) เนื้อของคนและสัตว์. (ป.).”
คำที่เราคุ้นกันดีคือ “มังสวิรัติ” (มัง-สะ-วิ-รัด) ก็มาจาก “มํส” คำนี้
อสฺส + มํส = อสฺสมํส (อัด-สะ-มัง-สะ) แปลว่า “เนื้อม้า”
ขยายความ :
“อสฺสมํส” เป็น 1 ในเนื้อ 10 ชนิดที่มีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุฉัน คือ –
(1) มนุสฺสมํส เนื้อมนุษย์
(2) หตฺถิมํส เนื้อช้าง
(3) อสฺสมํส เนื้อม้า
(4) สุนขมํส เนื้อสุนัข
(5) อหิมํส เนื้องู
(6) สีหมํส เนื้อสิงโต
(7) พฺยคฺฆมํส เนื้อเสือโคร่ง
(8 ) ทีปิมํส เนื้อเสีอเหลือง
(9) อจฺฉมํส เนื้อหมี
(10) ตรจฺฉมํส เนื้อเสือดาว
…………..
ต้นเรื่องที่ห้ามฉันเนื้อม้า ในพระวินัยปิฎกบันทึกไว้ดังนี้ –
…………..
เตน โข ปน สมเยน รญฺโญ อสฺสา มรนฺติ ฯ
ก็สมัยนั้นแล ม้าหลวงตายมาก
มนุสฺสา ทุพฺภิกฺเข อสฺสมํสํ ปริภุญฺชนฺติ ภิกฺขูนํ ปิณฺฑาย จรนฺตานํ อสฺสมํสํ เทนฺติ ฯ
ในยามอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต
ภิกฺขู อสฺสมํสํ ปริภุญฺชนฺติ ฯ
ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อม้า
มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ ขียนฺติ วิปาเจนฺติ
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า –
กถํ หิ นาม สมณา สกฺยปุตฺติยา อสฺสมํสํ ปริภุญฺชิสฺสนฺติ
ไฉนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อม้าเล่า
ราชงฺคํ อสฺสา
ม้าเป็นราชพาหนะ
สเจ ราชา ชาเนยฺย น เตสํ อตฺตมโน อสฺสาติ ฯ
ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ คงไม่ทรงพอพระทัยต่อพระสมณะเหล่านั้นเป็นแน่
ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ ฯ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
น ภิกฺขเว อสฺสมํสํ ปริภุญฺชิตพฺพํ
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อม้า
โย ปริภุญฺเชยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ ฯ
รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกฏ
ที่มา: เภสัชขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 60
…………..
คัมภีร์อรรถกถาขยายความว่า –
หตฺถิอสฺสมํสํ ราชงฺคตาย.
เนื้อช้างและเนื้อม้า ทรงห้ามเพราะเป็นราชพาหนะ
ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค 3 หน้า 193
…………..
ในภาษาไทย คำที่หมายถึง “ม้า” ที่เราคุ้นกันดีคำหนึ่งคือ “อาชา” ตัดมาจากคำเต็มในบาลีว่า “อสฺสาชานีย” (อัด-สา-ชา-นี-ยะ) มาจากคำว่า อสฺส + อาชานีย แปลว่า “ม้าอาชาไนย” หมายถึง ม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้ว เรียกตัดเป็น “อาชาไนย” แล้วตัดลงไปอีกเหลือเพียง “อาชา”
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ม้าเคยช่วยกู้ไทยได้เอกราช
: แม้จะเป็นเพียงชาติเดรัจฉาน
: เป็นคนไทยผลาญไทยด้วยใจพาล
: ส่อสันดานชาติชั่วกว่าอาชา
#บาลีวันละคำ (3,649)
9-6-65
…………………………….
…………………………….