บาลีวันละคำ

สุนขมํส (บาลีวันละคำ 3,650)

สุนขมํส

เนื้อสุนัข : เนื้อต้องห้ามชนิดที่ 4

เขียนแบบบาลี อ่านว่า สุ-นะ-ขะ-มัง-สะ

แยกศัพท์เป็น สุนข + มํส

(๑) “สุนข” 

อ่านว่า สุ-นะ-ขะ รากศัพท์มาจาก –

(1) สุนฺ (ธาตุ = ไป) + (อะ) ปัจจัย, แปลง อุน ที่ สุนฺ เป็น อุนข (สุนฺ คือ + อุน)

: สุนฺ + = สุน > สุนข แปลตามศัพท์ว่า “สัตว์ที่ไปเรื่อยๆ

(2) สุ (ธาตุ = ฟัง) + (อะ) ปัจจัย, แปลง อุ ที่ สุ เป็น อุนข (สุ คือ + อุ)

: สุ + = สุ > สุนข แปลตามศัพท์ว่า “สัตว์ที่เชื่อฟังคำเจ้าของ

(3) สุ (คำอุปสรรค = ดี, งาม, ง่าย) + นข (เล็บ

: สุ + นข = สุนข แปลตามศัพท์ว่า “สัตว์ที่มีเล็บงาม

สุนข” (ปุงลิงค์) หมายถึง สุนัข (a dog)

(๒) “มํส” 

อ่านว่า มัง-สะ รากศัพท์มาจาก มนฺ (ธาตุ = รู้) + ปัจจัย, แปลง นฺ ที่สุดธาตุเป็นนิคหิต (มนฺ > มํ)

: มนฺ + = มนส > มํส (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันคนรู้จัก” หมายถึง เนื้อคน, เนื้อสัตว์ (flesh, meat)

มํส” ในภาษาไทยใช้เป็น “มังส” และอิงสันสกฤตเป็น “มางสะ” 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –

มังส-, มังสะ, มางสะ : (คำนาม) เนื้อของคนและสัตว์. (ป.).”

คำที่เราคุ้นกันดีคือ “มังสวิรัติ” (มัง-สะ-วิ-รัด) ก็มาจาก “มํส” คำนี้

สุนข + มํส = สุนขมํส (สุ-นะ-ขะ-มัง-สะ) แปลว่า “เนื้อสุนัข

ขยายความ :

สุนขมํส” เป็น 1 ในเนื้อ 10 ชนิดที่มีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุฉัน คือ –

(1) มนุสฺสมํส เนื้อมนุษย์

(2) หตฺถิมํส เนื้อช้าง

(3) อสฺสมํส เนื้อม้า

(4) สุนขมํส เนื้อสุนัข

(5) อหิมํส เนื้องู

(6) สีหมํส เนื้อสิงโต

(7) พฺยคฺฆมํส เนื้อเสือโคร่ง

(8 ) ทีปิมํส เนื้อเสีอเหลือง

(9) อจฺฉมํส เนื้อหมี

(10) ตรจฺฉมํส เนื้อเสือดาว

…………..

ต้นเรื่องที่ห้ามฉันเนื้อสุนัข ในพระวินัยปิฎกบันทึกไว้ดังนี้ –

…………..

เตน  โข  ปน  สมเยน  มนุสฺสา  ทุพฺภิกฺเข  สุนขมํสํ  ปริภุญฺชนฺติ  ภิกฺขูนํ  ปิณฺฑาย  จรนฺตานํ  สุนขมํสํ  เทนฺติ  ฯ 

ก็สมัยนั้นแล ยามอัตคัดอาหารประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต

ภิกฺขู  สุนขมํสํ  ปริภุญฺชนฺติ  ฯ 

ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข 

มนุสฺสา  อุชฺฌายนฺติ  ขียนฺติ  วิปาเจนฺติ 

ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า –

กถํ  หิ  นาม  สมณา  สกฺยปุตฺติยา  สุนขมํสํ  ปริภุญฺชิสฺสนฺติ 

ไฉนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า

เชคุจฺโฉ  สุนโข  ปฏิกฺกูโลติ  ฯ

สุนัขเป็นสัตว์สกปรก

ภควโต  เอตมตฺถํ  อาโรเจสุํ  ฯ 

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

น  ภิกฺขเว  สุนขมํสํ  ปริภุญฺชิตพฺพํ  

พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข

โย  ปริภุญฺเชยฺย  อาปตฺติ  ทุกฺกฏสฺสาติ  ฯ

รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกฏ

ที่มา: เภสัชขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 60

…………..

คัมภีร์อรรถกถาขยายความว่า –

…………..

สุนขมํสนฺติ  เอตฺถ 

ในเรื่องเนื้อสุนัข มีข้อพิจารณาดังนี้ –

อรญฺญโกกา  นาม  สุนขสทิสา  โหนฺติ

สุนัขป่าคล้ายกับสุนัข (แต่ไม่ถือว่าเป็นสุนัข)

เตสํ  มํสํ  วฏฺฏติ  ฯ

เนื้อสุนัขป่านั้นฉันได้

โย  ปน  คามสุนขิยา  วา  โกเกน  โกกสุนขิยา  วา  คามสุนเขน  สํโยเคน  อุปฺปนฺโน

แต่สุนัขที่เกิดด้วยแม่สุนัขบ้านกับพ่อสุนัขป่าผสมกัน หรือเกิดด้วยแม่สุนัขป่ากับพ่อสุนัขบ้านผสมกัน

ตสฺส  มํสํ   น  วฏฺฏติ  ฯ

เนื้อของสุนัขนั้นฉันไม่ได้

โส  หิ  อุภยํ  ภชตีติ  ฯ

เพราะสุนัขเช่นว่านั้นอนุโลมเข้าได้ทั้งสุนัขป่าและสุนัขบ้าน

….

….

สุนขมํสญฺจ  อหิมํสญฺจ  ปฏิกฺกูลตาย.

เนื้อสุนัขและเนื้องู ที่ทรงห้ามเพราะเป็นของสกปรก

ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค 3 หน้า 193

…………..

ดูก่อนภราดา!

: สุนัขฝึกตัวมันเองไม่ได้

: แต่คนฝึกตัวเองได้

#บาลีวันละคำ (3,650)

10-6-65 

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *