หมาเฝ้าบ้าน
หมาเฝ้าบ้าน
————-
มีญาติมิตรแชร์เรื่องพระฉันชาบูมาที่หน้าบ้านผม ตั้งเป็นประเด็นว่าการที่พระฉันอาหารที่เรียกกันว่า ชาบู หรือชาบูชิ แล้วมีผู้แสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นั้น แปลว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังความขาดเข้าใจในพระธรรมวินัยที่ถูกต้องอยู่มาก
ผมได้แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้ –
………….
ควรจะตั้งหลักกันตรงที่ว่า-ที่ว่าไม่เหมาะสมนั้นไม่เหมาะสมอย่างไร ชี้ประเด็นออกมาให้ชัดๆ เสมือนว่า-ตั้งข้อกล่าวหากันชัดๆ ก่อน
จากนั้น ไปศึกษาพระวินัยว่าด้วยการฉันอาหารของภิกษุว่ามีข้อกำหนดไว้อย่างไรบ้าง เสมือนว่า-เอาข้อกฎหมายเข้ามาจับว่าการกระทำเช่นนั้นๆ มีกฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ว่าเป็นความผิด
ถ้าไม่มีพระวินัยบัญญัติไว้ หรือมี แต่ไม่ชัด ก็ต้องหาหลักมาเทียบเคียง เช่นคำวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ที่บูรพาจารย์คณะสงฆ์เคยแสดงไว้เป็นต้น
สรุปว่า อย่าเพิ่งเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด ควรหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กันก่อน เมื่อได้หลักความรู้มาแล้วจึงเอาหลักนั้นมาวินิจฉัยเรื่องที่เกิดขึ้น
แล้วก็-ขออภัย-ไม่ต้องรอผมนะครับ ในเมืองไทยนี้มีผู้เรียนจบประโยค ๙ เป็นจำนวนมาก อนุโมทนาชื่นชมกันทุกปี ขออาราธนา/นิมนต์/เรียนเชิญให้ช่วยกันแสวงหาคำตอบให้แก่สังคมกันบ้างนะครับ นี่เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ที่เรียนมาทางพระศาสนา ช่วยกันทำหน้าที่หน่อยนะครับ
คณะสงฆ์สมควรจะตั้ง “กองวิทยาการพระพุทธศาสนา” ขึ้นมาได้แล้วหรือยังเจ้าข้าเอ๊ย!
(จบความคิดเห็นของผม)
………….
มีญาติมิตรท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นตอบว่า
………….
ตั้งขึ้นมาทำไม กองวิทยาการพระพุทธศาสนา นี่ สิ้นเปลืองงบประมาณเปล่าๆ แม้จะตั้งขึ้นมาได้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันเป็นเรื่องของพระที่ไม่เคารพ สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ไม่ใช่พระที่บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก อย่าว่าแต่อาบัติทุกกฎเลยครับ แม้นิสสัคคียปาจิตตีย์ หรือ อนิยต ท่านก็ไม่สนหรอก
(จบความคิดเห็นของญาติมิตร)
………….
ตรงคำว่า “สิ้นเปลืองงบประมาณเปล่าๆ” นี่ทำให้ผมมีเรื่องพูดคุยได้อีกเรื่องหนึ่ง-คือที่จะได้อ่านต่อไปนี้
ผมเสนอความเห็นมานานแล้วว่า คณะสงฆ์ควรจะตั้งกองวิทยาการพระพุทธศาสนาขึ้นมา จะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควร
กองวิทยาการพระพุทธศาสนาในความฝันของผมนี่ไม่ต้องใช้งบประมาณของทางราชการ ค่าใช้จ่ายคงมีบ้าง แต่ไม่ต้องใช้งบประมาณของแผ่นดิน หรือที่นิยมพูดให้กระทบใจว่า-ไม่ต้องใช้ภาษีอากรที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชน
กองวิทยาการพระพุทธศาสนาในความฝันของผมนั้นมีหน้าที่ดังนี้ –
๑ รับฟัง แสวงหา (คือไม่ใช่นั่งรอปัญหาอยู่ในสำนักงาน รอให้มีแผ่นกระดาษวิ่งเข้ามาชน แต่เปิดหูเปิดตารับฟังและออกไปลาดตระเวนเพื่อให้รู้ว่าเวลานี้สังคมมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาบ้าง) และรวบรวมข้อปัญหาทั้งปวงอันเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นปัญหาโดยตรงหรือโดยอ้อม-อย่างเช่นปัญหาว่าพระฉันชาบูผิดหรือไม่/สมควรหรือไม่-นี่เป็นต้น มาเก็บไว้ จะเรียกว่าคลังปัญหา หรืออะไรก็ได้ อยากรู้ว่าเวลานี้มีปัญหาอะไรบ้าง มาดูได้ที่นี่
๒ เมื่อได้รับปัญหามาแล้ว ก็ไปสืบค้นหาคำตอบว่าปัญหานั้นๆ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา คือคัมภีร์ทั้งปวง ตลอดจนมติของโบราณาจารย์บูรพาจารย์ ท่านกล่าวไว้อย่างไร ข้อยุติควรเป็นอย่างไร คำตอบควรเป็นอย่างไร
๓ แล้วเสนอผลการศึกษาคือข้อยุตินั้นไปยังมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณาประกาศเป็นมติหรือเป็นคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องตลอดจนประชาชนทั้งหลายได้รับทราบและถือปฏิบัติเป็นแบบแผนต่อไป
องค์กรที่ดูแลพระพุทธศาสนาในบ้านเราเวลานี้ คือมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดังว่านี้โดยตรงโดยเฉพาะ
ถ้าใครไปสืบค้นดูมติมหาเถรสมาคมที่ประชุมกันมาภายใน ๕๐ ปีนี้ รับรองว่าจะไม่พบว่ามีปัญหาคาใจที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมของมหาเถรสมาคมเลย ถ้าจะมีบ้างก็น้อยที่สุด
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาจึงไม่เคยเข้าไปสู่การรับรู้รับพิจารณาของมหาเถรสมาคม
ตัวอย่าง-ปัญหาที่ผมถูกถามและผมเคยถามในสังคมโซเชียลมีเดียหลายครั้ง
๑ ผ้ากฐินที่เจ้าภาพได้รับพระราชทานหรือรับประทานจากเจ้านายนำไปทอดวัดราษฎร์ มีคำเรียกขานว่ากฐินอะไร
๒ วัดที่มีภิกษุจำพรรษาไม่ถึง ๕ รูป ไปนิมนต์จากวัดอื่นมาให้ครบ ๕ รูปเพื่อรับกฐิน ถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่
คอยดูหลังจากออกพรรษา รับรองว่าปัญหานี้จะปรากฏสู่สายตาของสังคมอีก แล้วก็จะไม่มีคำตอบจากมหาเถรสมาคม (หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) อยู่นั่นเอง คงปล่อยให้เรียกกันไปตามสะดวกปาก และปล่อยให้แต่ละวัดทำกันไปตามสะดวกสบาย ผิด-ถูกเป็นอันไม่ต้องพูดถึง
แต่ถ้ามีกองวิทยาการพระพุทธศาสนา ก็จะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงขึ้นมาทันที เป็นอันหวังได้ว่าปัญหาต่างๆ จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอย่างเป็นระบบ และมีผลออกมาอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องมานั่งเถียงกันอีก
ทีนี้ ที่ว่า-กองวิทยาการพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน คืออย่างไร
คืออย่างนี้
ผมเคยเสนอตัวเลขไปว่า ผู้จบเปรียญธรรม ๙ ประโยคในบ้านเรามีประมาณ ๑,๕๐๐
มรณภาพ/ตายไปแล้วประมาณ ๕๐๐
ลาสิกขา ประมาณ ๕๐๐
ยังดำรงสมณเพศ ประมาณ ๕๐๐
ที่ยังดำรงสมณเพศประมาณ ๕๐๐ เอาเฉพาะที่สามารถทำงานวิชาการพระพุทธศาสนาได้เต็มที่ ประมาณ ๒๕๐-ตัวเลขกลมๆ
นี่คือทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในมือ
ยังไม่รวมผู้ที่จบเปรียญเอก คือ ประโยค ๗ และประโยค ๘ ที่ยังดำรงสมณเพศอยู่ และเปรียญ ๙ ที่ลาสิกขา ซึ่งสามารถใช้เป็นกำลังพลสำรองได้ทันที-ถ้าจำเป็น
พระเปรียญ ๙ จำนวน ๒๕๐ นี่คือเจ้าหน้าที่ประจำกองวิทยาการพระพุทธศาสนา
สำนักงาน-หากจำเป็นต้องมี-ก็ใช้อาคารในวัดซึ่งมีอยู่เป็นอเนกอนันต์ ที่สร้างไว้แล้วก็ให้นกพิราบอาศัย ให้จิ้งจกตุ๊กแกเฝ้า เลือกเอาสักแห่งหนึ่งในวัดใดวัดหนึ่งที่เห็นสมควร
วัสดุ-ครุภัณฑ์ประจำสำนักงาน จัดหาโดยวิธีรับบริจาคหรือหาเจ้าภาพ (พูดอย่างนี้คงมีคนอยากหัวเราะแล้ว – เชิญเย้ยหยันได้ตามอัธยาศัย)
ถ้ายังงงอยู่ ก็ไปศึกษาเทคนิคของวัดพระธรรมกายดูว่า การบริหารจัดการเพื่อให้ได้มาซึ่งเจ้าภาพนั้นทำอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าพระที่ท่านถนัดทางนี้มีอยู่เป็นอันมาก เรียกใช้ให้ถูกก็แล้วกัน
การบริหารจัดการภายในสำนักงานกองวิทยาการพระพุทธศาสนาต้องปลอดจากระบบราชการ นั่นคือไม่ต้องให้ข้าราชการเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เพราะถ้าเป็น “หน่วยราชการ” เมื่อไร จะถูกระบบราชการครอบงำทันที ระบบราชการจะสร้างกำแพงนั่นนี่โน่นขึ้นมาปิดกั้นให้เกิดการตัดขัดขึ้นทั่วไปจนทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดจะทำให้เจตนารมณ์ของกองวิทยาการพระพุทธศาสนาเบี้ยวบิดผิดเพี้ยนไปหมด
กองวิทยาการพระพุทธศาสนา พระเป็นตัวจักร ฆราวาสเป็นผู้สนับสนุน
งานหลักของเจ้าหน้าที่ประจำกองวิทยาการพระพุทธศาสนา คือ (๑) รับปัญหามา (๒) ค้นคว้าหาคำตอบ (๓) ส่งคำตอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการเพื่อดำเนินการนำเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมต่อไป
เจ้าหน้าที่ประจำกองวิทยาการพระพุทธศาสนาจะมานั่งปฏิบัติงานที่สำนักงานก็ได้ หรือจะปฏิบัติงานอยู่ที่วัดของตนเองก็ได้ แต่ต้องมีวาระการประชุมพบปะกันเพื่อปรึกษาหารือประเด็นต่างๆ ร่วมกัน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตามหลัก-หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
โดยวิธีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ประจำกองวิทยาการพระพุทธศาสนาจึงไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรที่จะต้องเบิกจากงบประมาณ
อนึ่ง โปรดทราบทั่วกันว่า พระภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้ จะได้รับนิตยภัตซึ่งได้จากเงินงบประมาณแผ่นดินทุกเดือนตลอดเวลาที่ยังดำรงสมณเพศอยู่
สมัยผม (๒๕๑๕) ได้รับเดือนละ ๑๔๐.- บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบบาทถ้วน)
ปัจจุบัน (ข้อมูลปี ๒๕๕๔) เดือนละ ๔,๑๐๐.- บาท (สี่พันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
พระเปรียญธรรม ๙ ประโยครูปไหนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ (เป็นเจ้าคุณ) ชั้นสามัญ ก็จะได้รับนิตยภัตเดือนละ ๕,๕๐๐.- บาท (ห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน)
ถ้าได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นไปเป็นชั้นราช ชั้นเทพ … นิตยภัตแต่ละเดือนก็จะสูงขึ้นไปอีก
จะเห็นได้ว่า พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค-จะมีกองวิทยาการพระพุทธศาสนาหรือไม่มี จะปฏิบัติกิจของสงฆ์อยู่ที่ไหนหรือไม่ได้ทำอะไร อยู่กับวัดเฉยๆ-ก็ได้รับค่าตอบแทนอยู่แล้ว พูดเทียบกับภาษาชาวบ้านก็คือ-อยู่เฉยๆ ก็มีเงินเดือนกินอยู่แล้ว เมื่อทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ประจำกองวิทยาการพระพุทธศาสนาจึงไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรที่จะต้องเบิกจากงบประมาณแผ่นดิน
พูดให้ตรงกับความเป็นจริงก็ต้องพูดว่า ทางราชการจ่ายนิตยภัตให้พระเปรียญธรรม ๙ ประโยคโดยไม่เคยใช้งานอะไรเลยมานานนักหนาแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นแต่เพียงขอให้ทำงานเพื่อพระศาสนาบ้างเท่านั้น
และการทำงานให้พระศาสนาเช่นว่านี้ก็ตรงสายที่สุดแล้ว-กับการเรียนมาทางบาลี
นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องปรับกระบวนคิดกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง
คิดกันเสียใหม่ให้ถูกต้องก็คือ พระเณรเรียนบาลีไปทำไม
พระพุทธศาสนานั้น ท่านแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ
พระปริยัติศาสนา = ศึกษาเล่าเรียน
พระปฏิปัตติศาสนา = พากเพียรปฏิบัติ
พระปฏิเวธศาสนา = สัมผัสมรรคผล
การเรียนบาลีนั้น ภาษาของคณะสงฆ์เรียกว่า “การศึกษาพระปริยัติธรรม” ซึ่งก็คือส่วนเบื้องต้นของพระศาสนา ก็นับว่าเริ่มต้นถูกทางแล้ว
ขั้นตอนต่อไปก็คือ พระปฏิปัตติศาสนา = พากเพียรปฏิบัติ ก็คือเอาความรู้ที่ได้จากการเรียนบาลีมาปฏิบัติให้ถูกต้อง-สำหรับตนเองเป็นเบื้องต้น นั่นคือตนเองรู้ถูก ปฏิบัติถูก ต่อจากนั้นก็เอื้อเฟื้อบอกกล่าวไปยังเพื่อนสหธรรมิก ตลอดจนชาวพุทธ-ชาวบ้านทั้งปวงให้รู้ถูกและปฏิบัติถูกด้วย
พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้มั่นคงและดำเนินต่อไปได้กว้างขวางก็ด้วยอาการเช่นนี้
เวลานี้มีความคิดเบี่ยงเบนไปจนเรียกได้ว่า-ผิดเพี้ยน
คือผู้เรียนบาลีไม่ได้เรียนเพื่อให้ได้ความรู้ แต่เรียนเพื่อให้สอบได้
สอนกันแต่เทคนิควิธีทำข้อสอบเพื่อให้สอบได้เป็นประมาณ ความรู้เป็นเพียงผลพลอยได้
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเอาความรู้ที่ถูกต้องไปปฏิบัติให้ถูกต้องสำหรับตนเอง
ส่วนการเอาความรู้ไปเผยแผ่ให้แพร่หลายนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ตั้งเป้าหมายไว้ที่สอบได้
ตั้งเป้าหมายไว้ที่ประโยค ๙
ถ้าเป็นสามเณร ก็ตั้งเป้าหมายไว้ที่ได้เป็นนาคหลวง
พอสอบได้ก็จบแค่นั้น ถึงกับพูดกันว่า “ปารคู” แปลว่า บรรลุถึงเป้าหมายแล้ว สำเร็จกิจแล้ว
ญาติโยมก็พลอยถูกทำให้หลงเข้าใจ หลงชื่นชมไปด้วยเพียงแค่สอบได้-สอบได้ หาได้สนใจติดตามต่อไปถึงตัวความรู้ และต่อไปถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องแต่ประการใดไม่
ทั้งๆ ที่สอบประโยค ๙ ได้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายอย่างที่เข้าใจและพยายามช่วยกันทำให้เข้าใจเช่นนั้น
สอบประโยค ๙ ได้ อุปมาเหมือนได้รับกุญแจไขเข้าสู่คลังมหาสมบัติ คือพระปริยัติศาสนา
เป็นการเริ่มทำกิจ ไม่ใช่สำเร็จกิจแล้ว
หน้าที่ต่อไปนี้ก็คือ ใช้หลักวิชาที่ได้มาจากการเรียนบาลีจนถึงประโยค ๙ เข้าไปศึกษาพระคัมภีร์ให้เข้าใจว่าพระธรรมวินัยที่ถูกต้องคืออะไร
แล้วเอามาปฏิบัติสำหรับตนเอง
แล้วบอกกล่าวสั่งสอนเผยแผ่ต่อไป
ด้วยอาการเช่นนี้ พระศาสนาจึงจะดำรงอยู่ได้มั่นคงและดำเนินต่อไปได้กว้างขวาง
ถ้าจะปฏิรูปกิจการพระศาสนา ต้องปรับกระบวนความคิดในเรื่องการเรียนบาลีกันใหม่ทั้งหมดด้วย
เรียนบาลีเพื่อให้ได้ความรู้เอามาสนับสนุนการปฏิบัติที่ถูกต้อง
แค่ถามว่าพระฉันชาบู ผิดหรือไม่ผิด ไม่มีเสียงตอบที่ถูกต้อง
แล้วยังจะภาคภูมิใจกับการสอบประโยค ๙ ได้ไปทำไม
(หมายเหตุ: เวลาพูดถึงผู้สอบประโยค ๙ ได้ ญาติมิตรคงจะรู้สึกได้ว่าผมพูดแบบไม่ค่อยเกรงใจ ผมมีเหตุผล ซึ่งคงจะได้เล่าสู่กันฟังสักครั้ง)
——————-
กลับมาที่-กองวิทยาการพระพุทธศาสนาอีกที
ตามความฝันของผมนั้น บอกว่าไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ได้แปลว่าทุกคนทำงานเป็นการกุศล ควักกระเป๋าตัวเองเพื่อส่วนรวม
ไม่ใช่เช่นนั้น
ผมเพียงแต่จะบอกว่า ถ้าห่วงว่าจะเปลืองงบประมาณแผ่นดิน ก็อย่าห่วงเลย มิวิธีที่ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินอีกเยอะแยะไป
ทรัพย์สินเงินทองที่ไหลเข้ามาในพระพุทธศาสนาอันเกิดจากศรัทธาของผู้คนในแผ่นดินนี้มีอยู่เป็นอเนกอนันต์ เพียงแต่เราเปิดช่องให้คนผู้มีความโลภครอบงำเข้ามามีสิทธิ์จัดการ
ทรัพย์สินอันเกิดจากศรัทธาจึงไหลเข้ากระเป๋าส่วนตัวไปมากต่อมาก
ประชาชนเขาศรัทธาบำรุงพระศาสนา
แต่คนโลภใช้วิธีจัดการเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
จองตั๋วไปนรกเรียบร้อยแล้ว-ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามที
แค่วัด…. (เติมชื่อวัดเอาเองก็แล้วกัน) … วัดเดียว หากปฏิรูปการบริหารจัดการให้ดี ให้เด็ดขาด ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่กองวิทยาการพระพุทธศาสนา รวมทั้งค่าใช้จ่ายทั้งปวงในการดำเนินงานของกองวิทยาการพระพุทธศาสนา-อันมีเป้าหมายเพื่อความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้อง-จะเอาสักเท่าไรก็ได้
ยังไม่ต้องพูดถึงวิธีหาเจ้าภาพเป็นการเฉพาะกิจอีกต่างหาก
ก็ต้องปฏิรูปตรงนี้อีกจุดหนึ่ง คือ ทำให้ทรัพย์สินอันเกิดจากศรัทธาของผู้คนได้ไหลไปเพื่อบำรุงพระศาสนาอย่างแท้จริง
พูดง่าย แต่ทำยาก-อภิมหายาก
ทำยาก แปลว่าทำยาก
ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้
——————-
ถามว่า เวลานี้เราก็มีผู้ทรงภูมิรู้สามารถตอบข้อสงสัยในปัญหาเกี่ยวกับพระศาสนาอยู่มาก มีปัญหาอะไรก็ให้สื่อเอาไมค์จ่อปาก เท่านี้ก็จะได้คำตอบสำเร็จตามประสงค์อยู่แล้ว จะต้องตั้งกองวิทยาการพระพุทธศาสนาขึ้นมาทำไมให้วุ่นวาย
คำตอบก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับพระศาสนาต้องการความเด็ดขาดชัดเจนและ “เป็นทางการ”
มิเช่นนั้นไม่จบ
กองวิทยาการพระพุทธศาสนาจะทำหน้าที่ “นับหนึ่ง” ในการนำปัญหาเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยของมหาเถรสมาคม
ถ้าคิดเทียบกับกระบวนการยุติธรรม ก็พอเทียบได้กับพนักงานอัยการของทางบ้านเมืองที่ทำหน้าที่นำคดีความเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งจะมีผลออกมาเป็นคำพิพากษาต่อไป
ยกตัวอย่าง มีการฆ่ากัน
ทุกคนรู้ว่าคนฆ่าคือคนที่ทำความผิด ไม่มีใครหลงเข้าใจผิดไปว่าการฆ่ากันเป็นความดีงาม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่แม้กระนั้น คนฆ่าจะถูกตัดสินว่าผิดหรือไม่ ถ้าผิดจริงจะถูกลงโทษอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาล ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา ตราบนั้นใครก็ยังทำอะไรคนฆ่าไม่ได้
ปัญหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็เป็นเช่นนั้น มีการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้เกิดขึ้น (เช่นมีผู้ถวายชาบูให้พระฉัน ฯลฯ) มีผู้แสดงความคิดเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ และมีผู้รู้เข้ามาบอกว่าผิด หรือบอกว่าไม่ผิดก็ตาม แต่ตราบใดที่ผู้ปกครองคณะสงฆ์-คือมหาเถรสมาคม-ยังไม่มีมติหรือมีคำสั่งอะไรออกมาให้เด็ดขาดชัดเจน ใครก็ยังไปตัดสินพระที่ฉันชาบู (ตลอดจนกรณีนั่นนี่โน่น) ว่าผิดหรือถูกไม่ได้อยู่นั่นเอง
แต่กรณีแบบนี้ต้องแยกให้ออก-กับกรณีที่มีพระวินัยบัญญัติไว้ชัดเจน
เช่น พระเสพเมถุน ชัดเจนว่าต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ
แบบนี้ไม่ต้องรอให้มหาเถรสมาคมมีคำตัดสินออกมาเสียก่อนแต่ประการใดเลย เพราะพระธรรมวินัยตัดสินไว้เด็ดขาดชัดเจนอยู่แล้ว
แน่นอน ถ้าพระที่จะประพฤติอะไรที่มีปัญหาไปอยู่ในป่าหิมพานต์รูปเดียว ก็คงไม่ต้องมีใครไปวุ่นวายเดือดร้อนด้วย แต่เมื่อเราอยู่กันเป็นสังคม ก็ต้องมีความชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรห้ามทำ อะไรที่ยังไม่ชัดเจนก็ควรมีวิธีการเพื่อนำไปสู่ความชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยอิสระ
ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ก็เพียงแต่พยายามหาวิธีการที่จะให้เกิดความชัดเจนเท่านั้น
——————-
ผมตระหนักดีว่า ความคิดเห็นทั้งปวงนี้ยากนักที่ไปถึงหูตาของผู้รับผิดชอบการพระศาสนา
แม้ไปถึงหูตาของผู้รับผิดชอบการพระศาสนาแล้ว ก็ยากนักที่ท่านเหล่านั้นจะเห็นด้วย
แม้ท่านเหล่านั้นจะเห็นด้วย ก็ยากนักที่จะมีการกระทำให้เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นจริง
แม้มีการกระทำให้เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นจริง ก็ยังยากนักที่จะมีผลสัมฤทธิ์จนถึงบั้นปลาย คือเกิดเป็นความบริสุทธิ์ดีงามถูกต้องในพระศาสนา
แต่ยาก แปลว่ายาก
ไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้
——————-
ประเดี๋ยวเขียนเรื่องนี้จบแล้ว ผมจะตั้งหลักสืบค้นดูว่า พระฉันชาบูเข้าหลักพระธรรมวินัยข้อไหนบ้าง
ทำไปเท่าที่จะมีสติปัญญาทำได้
รู้อะไรมา ก็จะเอามาบอกเท่าที่พอจะบอกกันได้-ตามสติปัญญา
พยายามให้ความรู้ที่ถูกต้องกันต่อไป เมื่อลมหายใจยังมี
ผมจะไม่ขอให้ให้ใครมาช่วยกันทำงานแบบนี้ เพราะได้ข้อยุติแล้วว่า ขอให้ช่วยหรือไม่ขอให้ช่วย ก็ไม่มีใครช่วยอยู่นั่นเอง
หลับกันให้สบายนะครับ
ผมจะเป็นหมาเฝ้าบ้านให้
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐
๑๗:๒๗
…………………………….
…………………………….