บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

หมาข้างถนน

หมาข้างถนน

————–

ภาพและคลิปที่ประกอบเรื่องนี้ผมถ่ายเองเมื่อเช้านี้ (๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒) ระหว่างเดินออกกำลัง 

หมาตัวนี้นอนเกือบจะกลางถนน 

สมมุติว่ามันถูกรถทับ ตายหรือบาดเจ็บ 

แล้วมีคนถ่ายภาพเอามาเผยแพร่

เราคงพอคาดเดาได้ว่า-บรรยากาศจะเป็นอย่างไร

ก็จะต้องมีคนจำนวนมากออกมาแสดงความเห็นเป็นอย่างที่เรียกกันว่า ดราม่า 

เป็นต้นว่า – 

โถ ขับรถทับได้แม้กระทั่งหมาข้างถนน

คนอะไรโหดร้ายสิ้นดี 

ช่างไม่มีเมตตา 

เลวยิ่งกว่าหมา 

ฯลฯ

พอดีว่าผมอยู่ในที่เกิดเหตุ (ซึ่งยังไม่เกิด) 

ผมเห็นตั้งแต่ไกลว่า หมาตัวนี้นอนอยู่เกือบกลางถนน

ดูลักษณะท่าทีแล้ว ไม่ใช่หมาป่วย

สถานที่บริเวณนั้นกว้างขวาง ถ้าอยากนอน เลือกนอนตรงไหนก็ได้-ที่ปลอดภัยไร้ปัญหา 

แต่กูจะนอนตรงนี้แหละ ใครจะทำไม-ผมคิดแทนมัน-แบบหมาอันธพาล 

ผมสังเกตเห็นว่า หมาสมัยก่อนกลัวรถ ได้ยินเสียงรถแล้ววิ่งหนี แต่หมาสมัยนี้ชอบนอนกลางถนน ไม่กลัวรถ  

บางคนอธิบายว่า พื้นถนนอุ่นดี หมาจึงชอบนอน 

แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามทีเถิด การที่หมาไปนอนอยู่ตรงนั้น-แบบในภาพ-ย่อมก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้ใช้รถ อย่างน้อยก็ต้องเบรก ต้องเบี่ยง เสี่ยงต่อการเฉี่ยวชนกับรถคันอื่น 

ถ้าเกิดว่ารถทับหมา เราจะตัดสินว่าเป็นความผิดของคนขับรถ หรือจะบอกว่าเป็นความผิดของหมา? 

แน่นอน คนส่วนใหญ่มีความโน้มเอียงที่จะคิดแบบดราม่า คือคิดว่าคนต้องมีเมตตาต่อสัตว์-โดยเฉพาะต่อหมาซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ใกล้ชิดกับคนมานานแสนนาน 

เพราะฉะนั้น ใครขับรถชนหมา คนนั้นจะถูกมองว่าใจร้าย ขาดเมตตา 

ไม่มีใครคิดว่าเป็นความผิดของหมา-ที่ทำไมจะต้องเลือกมานอนตรงนั้นทั้งๆ ที่มีที่อื่นออกกว้างขวาง 

แน่นอน หมามันไม่รู้จักเหตุผลอะไรทั้งนั้น เราจึงคิดว่ามันไม่มีความผิด

คนที่ขับรถมาชนมันต่างหากที่มีความผิด 

ที่ประมาท 

ที่ไม่รู้จักระวัง —

แล้วต่อจากนั้นก็-ที่ขาดเมตตา 

ที่ใจร้าย 

ที่โหดเหี้ยม ฆ่าได้แม้กระทั่งหมา — 

ฯลฯ

ทีนี้ก็ดราม่ากันตรึมไปเลย 

แต่ถ้าท่านทั้งปวงมาอยู่ในเหตุการณ์-เหมือนผม อาจจะคิดไปอีกแบบ 

อย่างน้อยก็คงจะเหยียบเบรก-ความคิดที่จะรุมตำหนิคนขับรถ (ถ้าสมมุติว่ามีการขนหมาเกิดขึ้น) 

เปลี่ยนมาเป็นเห็นใจคนขับรถ 

และหมั่นไส้หมา – เออ ที่ออกถมเถ ทำไมจะต้องมานอนกลางถนน ให้คนเขาเดือดร้อน

จะเห็นได้ว่า อะไรก็ตาม-ถ้าเรารู้ข้อเท็จจริง เห็นเหตุการณ์จริง ความคิดของเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง-ซึ่งตรงตามที่ควรจะคิด-มากกว่าที่คิดแบบดราม่า

……………………

เรื่องอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้ คือคนส่วนมากชอบแสดงความรู้สึกนึกคิด แต่ไม่ชอบแสวงหาความรู้และความจริง-แม้ในเรื่องที่ตนกำลังนึกคิดอยู่นั่นเอง

สังคมเรากำลังเป็นแบบนี้ 

นิสัยแบบนี้ (คือชอบแสดงความรู้สึกนึกคิด แต่ไม่ชอบแสวงหาความรู้และความจริง) ใช้กับเรื่องทางโลกๆ ก็พอว่า แต่ถ้าเอามาใช้กับเรื่องทางพระศาสนา อันตรายครับ อันตราย

โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาอันมีพระธรรมวินัยเป็นเนื้อเป็นตัว คือเป็นหลัก จะเอาความเข้าใจส่วนตัวตัดสินหาได้ไม่ 

ต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจหลักของท่านเสียก่อน

ใครจะว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว ก็ว่าไป ผมไม่ขัดข้องอะไร

แต่พระธรรมวินัยไม่ขึ้นกับความเข้าใจส่วนตัว

ยกตัวอย่างเพื่อเทียบให้เห็นง่ายขึ้น – ภิกษุมีเจตนาขโมยวัว เห็นวัวที่เขาล่ามเชือกไว้ เข้าไปแก้เชือก จูงวัวไป 

จูงไปได้หน่อยหนึ่ง เกิดเปลี่ยนใจ เอาวัวกลับมาผูกไว้ตามเดิม 

ถามว่า ภิกษุเป็นอาบัติปาราชิกฐานลักทรัพย์หรือไม่? 

ตอบตามประสาชาวบ้านทั่วไปก็ต้องบอกว่า ไม่เป็น เพราะยังไม่ได้เอาวัวไป 

ตอบตามหลักกฎหมายก็บอกว่า ความผิดยังไม่สำเร็จ เพราะทรัพย์คือวัวก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้เอาไปไหน จึงยังไม่มีใครลักทรัพย์ใคร 

แต่พระธรรมวินัยท่านไม่ได้มองแบบนั้น 

หลักพระวินัยกำหนดไว้ว่า กรณีเช่นนี้ (ภิกษุมีเจตนาขโมยวัว) ถ้าภิกษุจูงวัว แล้ววัวก้าวขาที่ ๔ พ้นจากที่มันยืนอยู่ ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว 

ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว-ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เอาวัวไปไหนนั่นแหละ 

เห็นหรือยังว่า-หลักพระธรรมวินัยไม่ขึ้นกับความเข้าใจส่วนตัวของใคร

หน้าที่ของเราคือศึกษาให้เข้าใจ

ไม่ใช่ติดสินพระธรรมวินัยไปตามเข้าใจของเราเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อมีกรณีอะไรเกิดขึ้น จงศึกษาข้อเท็จจริงให้แจ้งใจเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยแสดงความคิดเห็น

……………………

พอผมถ่ายรูปเสร็จ มองหน้าเหลียวหลัง เห็นถนนว่างดีแล้ว ผมก็ฉวยไม้เล็กๆ ที่มีอยู่ข้างทาง เดินเข้าไปไล่หมาตัวนั้น 

ไล่ในทิศทางที่ให้มันกลับออกมา ไม่ใช่ให้มันข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนน 

หมาตัวนั้นลุกขึ้นอย่างว่องไว

พิสูจน์ได้ว่ามันเป็นหมาปกติ 

ไม่ได้เจ็บป่วยหรือหิวโหย 

แล้วมันก็วิ่งหายเข้าไปในตรอกข้างถนน

นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิด 

คือคนแถวนั้นก็เห็นว่ามีหมานอนขวางถนนอยู่ 

แต่ไม่มีใครคิดจะไล่ 

อ่านจิตได้ไม่ยาก – นั่นคือคนส่วนมากคิดว่าไม่ใช่หน้าที่อะไรของกู ธุระไม่ใช่ ก็แค่หมานอนข้างถนนตัวเดียว คนขับรถก็หลบหลีกเอาเองสิ ธุระใครธุระมัน 

เรื่องอื่นๆ เราก็มักคิดแบบเดียวกันนี้-ไม่ใช่หน้าที่อะไรของกู 

เราถนัดที่จะเป็นฝ่ายยืนดูเหตุการณ์ 

แล้วก็แสดงความคิดเห็นโดยไม่จำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริง 

แต่ไม่คิดจะช่วยกันแก้ปัญหา – ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น

แม้แต่เรื่องที่แก้ได้ง่ายที่สุด-อย่างเรื่องหมาข้างถนน!!

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒

๑๒:๑๔

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *