อนาคตของพระศาสนาที่น่าวังเวง
อนาคตของพระศาสนาที่น่าวังเวง
——————————–
นานมาแล้วญาติมิตรท่านหนึ่งเสนอประเด็นเรื่อง-ผู้จบประโยคเก้ากับการศึกษาพระไตรปิฎก ผมขึ้นบัญชีไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องนี้ ตั้งท่าเขียนไปได้หน่อยหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่จบ
หลักของเรื่องก็คือ เรียนพระไตรปิฎกจำเป็นต้องจบประโยคเก้าหรือไม่?
คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น
ฝรั่งที่เรียนบาลีแล้วศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน จนทำพจนานุกรมบาลีออกมาได้อย่างสมบูรณ์ล้ำหน้าคนไทย ไม่มีใครจบประโยคเก้าสักคน แต่ทุกคนเรียนรู้ภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง
จึงได้หลักว่า-จะศึกษาพระไตรปิฎกต้องมีความรู้ภาษาบาลี
แล้วผู้จบประโยคเก้าล่ะ จำเป็นต้องศึกษาพระไตรปิฎกหรือไม่?
คำตอบก็คือ จำเป็น และจำเป็นอย่างยิ่งด้วย
เพราะเรียนบาลีเป้าหมายคือเอาไปเป็นเครื่องมือในการศึกษาพระไตรปิฎก
จบประโยคเก้า แต่ไม่ศึกษาพระไตรปิฎก นั่นคือเบี่ยงเบน
………………..
คนที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย ต้องจบหมอทุกคนหรือไม่
ไม่ใช่เลย ไม่ต้องเป็นหมอก็ช่วยเหลือผู้ป่วยได้ ถ้ารู้วิธีช่วย
เพราะรู้วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดตายหายป่วยนั่นแหละ เขาจึงเป็นหมอ
แต่คนที่เรียนเพื่อเป็นหมอ จบหมอแล้ว ถ้าไม่ช่วยรักษาผู้ป่วย นั่นคือเบี่ยงเบน
………………..
เรื่องนี้ผมพูดมานานแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง
ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมไม่ใช่คนสำคัญที่พูดอะไรไปคนจะต้องฟัง
แต่ถ้าเรื่องนี้แม่กองบาลีพูด อาจจะมีคนฟัง เพราะพระคุณท่านเป็นผู้รับผิดชอบการสอบบาลีของคณะสงฆ์
แล้วเรื่องเรื่องเดียวกันนี่แหละ ถ้าสมเด็จพระสังฆราชตรัสออกมา เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที
ยิ่งถ้าคนสำคัญของบ้านเมืองพูด-เรื่องเดียวกันนี่แหละ-คราวนี้วิ่งกันหัวซุกหัวซุกหัวซุนทีเดียวแหละ
สังคมเราเป็นกันอย่างนี้
who สำคัญกว่า what หรือ how
ยิ่งในระบบราชการด้วยแล้ว นายสำคัญที่สุด
ถ้านายคิดหรือเป็นความต้องการของนาย ดีหรือไม่ดีเลิกพูด
บางทีผิดหรือถูกก็เลิกพูดด้วย
แต่ถ้าไม่ใช่นาย เรื่องที่คิดจะดีขนาดไหน – ขอประทานโทษ – ไม่มีหน้าที่ กรุณาอย่าสะเออะ
เราจึงทิ้งความคิดดีๆ ไปเสียเยอะ เพียงเพราะผู้คิดเป็นคนโนเนม
และเพราะเหตุนี้กระมัง คนเราจึงอยากมีอำนาจ อยากได้อำนาจ
เพราะมีอำนาจ เอ่ยปากอะไร คนก็วิ่งกันหัวซุกหัวซุกหัวซุนสนองความต้องการ
แล้วก็ร้อยละร้อยของคนมีอำนาจ ใช้อำนาจไปเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
และความต้องการของตัวเอง-แทบทั้งหมด-เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง
ที่จะคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของบ้านเมืองนั้นมีน้อยอย่างยิ่ง
ได้อำนาจกันมากี่รุ่นต่อกี่รุ่น ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด
ที่เราไม่ค่อยคิดกันก็คือ ความต้องการประโยชน์ส่วนตัวหรือความเห็นแก่ตัวนั้น สามารถฝึกหัดขัดเกลากันได้
ฝึกหัดอบรมสั่งสอนให้ลด ละ เลิก ทำได้
ฝึกหัดอบบรมสั่งสอนให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ก็ทำได้
แต่เราก็ไม่ได้สนใจที่จะฝึกหัดอบบรมสั่งสอนกัน โดยเฉพาะลูกหลานของเราที่จะเติบโตขึ้นมามีอำนาจต่อจากคนรุ่นเรา
เรามีแต่ส่งเสริมให้เขาทะยานอยาก
แต่ที่จะให้รู้จักควบคุมตนเองนั้นไม่ได้สอน
………………..
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนวิธีฝึกหัดขัดเกลาควบคุมตนเอง
เรารับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมาช้านาน ควรได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่
ก็ได้อยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ได้
แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งเบี่ยงเบน
จากศาสนาแห่งปัญญา เราก็ทำให้เบี่ยงเบนเป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม
การเรียนบาลีเป็นเรื่องหนึ่งที่เบี่ยงเบน
จากเรียนบาลีเพื่อศึกษาพระไตรปิฎก ก็เบี่ยงเบนไปเป็นเรียนเพื่อสอบได้ เพื่อเป็นเกียรติ
แต่พร้อมกันนั้นก็มีสิ่งที่น่าสังเกต นั่นคือ คนที่สนใจศึกษาพระไตรปิฎก-แต่ไม่ได้เรียนบาลี มีมากขึ้น
สนใจปฏิบัติธรรม สนใจศึกษาธรรมะ แต่ไม่มีความรู้ทางบาลี
ส่วนผู้ที่เรียนบาลี ก็เรียนด้วยความมุ่งหมายอย่างอื่น แต่มิใช่มุ่งศึกษาพระไตรปิฎก
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา
………………..
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ถ้าเอาหลักอริยสัจตั้งเป็นเกณฑ์ ก็เป็นแค่ (๑) ทุกข์-สาธยายถึงปัญหา
ยังไม่ได้พูดถึง (๒) สมุทัย-สาเหตุของปัญหา
ยังไม่ได้พูดถึง (๓) นิโรธ-ความดับทุกข์ คือเป้าหมายที่พึงประสงค์
และส่วนที่สำคัญที่สุด (๔) มรรค-หนทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
………………..
ผมได้ข้อยุติส่วนตัวมานานแล้วว่า อย่ามัวแต่เรียกร้องให้ใครทำอะไรเพียงอย่างเดียว แต่จงลงมือทำด้วยตัวเอง
อะไรที่ทำได้ ลงมือทำไป
ไม่ต้องรอใคร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้นคว้าศึกษาเรียนรู้ ต้องทำตลอดเวลา
บอกกล่าว เผยแพร่ เผยแผ่ ทำทุกโอกาสที่ทำได้
หาโอกาสทำ ไม่รอให้โอกาสวิ่งมาหาท่าเดียว
และที่สำคัญที่สุด – ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ไม่ใช่พูดแต่ปาก
ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้
รู้เพื่อพูด
พูดแต่ไม่ทำ
วิธีนี้ทำให้วันคืนไม่ได้ล่วงเลยไปเปล่าๆ
เก็บบุญใส่ย่ามได้ทุกวัน มากหรือน้อยก็ได้ทุกวัน
พร้อมกันนั้นก็ไม่ได้ละเลยเพิกเฉย
กระตุก กระตุ้น กระทุ้ง กระแทกอะไรได้ ก็ทำไปด้วย เป็นการบอกเพื่อนร่วมชะตากรรมว่า ทำอะไรได้ก็จงเร่งทำเข้าเถิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่มีตำแหน่งมีหน้าที่
ผมเข้าใจดีถึงธรรมชาติของระบบการปกครองบังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการหรือคณะสงฆ์ —
ทุกอย่างแล้วแต่นาย
ทุกอย่างแล้วแต่คนนั่งหัวโต๊ะ
แต่ผมก็ยังอยากที่จะเสนอแนวคิดเพื่อเป็นกำลังใจว่า-เราควรช่วยกันเริ่มสร้างวัฒนธรรมใหม่
งานมีอยู่ ๓ งบ คือ –
๑ งานประจำ
๒ งานที่นายสั่ง
๓ งานที่เราคิดแล้วเสนอขึ้นไป หรือทำในกรอบอำนาจของเรา
งานประจำ – คืองานที่ทำกันมา ถึงเวลาก็ทำกันไป ไม่ดีขึ้น ไม่เลวลง แต่นานไปก็จะค่อยๆ เรียวลง เสื่อมลง งานงบนี้มีมากที่สุด
งานที่นายสั่ง – งานงบนี้มีน้อยที่สุด มีเป็นครั้งคราว
งานที่เราคิดแล้วเสนอขึ้นไป – งานงบนี้เป็นศูนย์ คือไม่มีใครคิดจะทำ
ธรรมชาติของคนมีนายคือ ไม่คิดอะไรเอง ทุกอย่างรอให้นายสั่ง
เจ้าคณะพระสังฆาธิการของเรา ตั้งแต่กรรมการมหาเถรสมาคมจนถึงเจ้าอาวาสรูปสุดท้าย ตกอยู่ในธรรมชาติข้อนี้
ถ้าคนนั่งหัวโต๊ะไม่สั่งอะไร ทุกท่านก็จะนั่งทับตำแหน่งนิ่งๆ ไม่ขยับตัวทำอะไรทั้งสิ้น-แม้จะมีความคิด แม้จะเห็นว่าควรทำเพียงไรก็ตาม
………………..
ตอนตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่ มีกระแสคึกคักอยู่พักสั้นๆ หลายๆ ฝ่ายชื่นชมยินดี ผมเองก็พลอยชื่นชมยินดี อนุโมทนาสาธุการ
และแอบมีความหวังว่า การพระศาสนาคงจะขยับตัวไปข้างหน้าได้บ้าง
พอกระแสคึกคักสงบ ทุกอย่างก็เงียบสงัด
และทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม
ผมไม่อยากเห็นการเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมมีความหมายเพียงแค่-เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลเท่านั้นเอง
แนวคิดที่ผมขอเสนอก็คือ ขอได้โปรดมีความกล้าที่จะทำงานในงบที่ ๓ กันบ้างเถิด
ถ้ายังคิดอะไรไม่ออก ลองจับที่งาน-ปฏิรูปการเรียนบาลีกันเสียใหม่ก็ได้นะขอรับ
ชูประเด็นหลัก —
…………………………………………….
ใครยังจะเรียนบาลีเพื่อสอบได้ประโยคเก้าเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล ก็เรียนไป
แต่คณะสงฆ์ไทยส่งเสริมการเรียนบาลีเพื่อศึกษาพระไตรปิฎก
…………………………………………….
นี่เป็นการประกาศนโยบายรักษาพระศาสนาไปในตัว
ศึกษาพระไตรปิฎกก็คือศึกษาพระธรรมวินัย
ศึกษาพระธรรมวินัยก็คือศึกษาตัวพระศาสนา
พระเถระรูปหนึ่งท่านกล่าวว่า-เรื่องเรียนบาลี เรื่องศึกษาพระไตรปิฎกนี่ ต้องแล้วแต่ศรัทธาของแต่ละคน บังคับกันไม่ได้
ถ้าเราฝากอนาคตของพระศาสนาไว้ในมือของท่านที่คิดเช่นนี้
อนาคตของพระศาสนาก็น่าวังเวงพิลึก
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
๑๕:๕๗
…………………………….
…………………………….