บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

อย่าให้ลิงอาย

อย่าให้ลิงอาย

————-

มีญาติมิตรผู้หวังดีแชร์ภาพประกอบนี้มาให้ผม

ผมเอาลงประกอบมิใช่ด้วยเจตนาจะเผยแพร่ภาพนี้

แต่เพื่อเป็นหลักฐานในการแสดงความคิดเห็น

ความเห็นของผมมีดังนี้ :

………

๑ ภาพลบหลู่ศาสนาทำนองนี้มีปรากฏทางสื่ออยู่เนืองๆ แต่น่าสังเกตว่า มักไม่มีข้อมูล เช่น คนออกแบบหรือคนต้นคิดเป็นใคร คนแสดงแบบเป็นใคร คนกลุ่มไหนอยู่ที่ไหนเป็นคนทำและเผยแพร่ภาพเช่นนี้ 

– คนออกแบบหรือคนต้นคิด-น่ารู้จัก เพื่อจะได้ศึกษาว่าเขามีภูมิหลังอย่างไร เขาคิดเองหรือมีใครว่าจ้างให้ทำ

– คนแสดงแบบ-น่ารู้จัก เพื่อจะได้ศึกษาว่าพื้นเพมาอย่างไร รับแสดงเองหรือมีผู้ว่าจ้าง รู้หรือไม่ว่าเครื่องแต่งกายที่มีภาพประกอบแบบนี้เป็นการลบหลู่ เป็นคนซื้อได้ด้วยเงินหรือทำเพราะมีอุดมคติ

– คนกลุ่มไหนอยู่ที่ไหน-น่ารู้จัก เพื่อจะได้ศึกษาว่าคนกลุ่มนี้ก๊กนี้คิดทำกันขึ้นเองสนุกๆ หรือได้รับการว่าจ้างมาจากใครอีกต่อหนึ่ง

เรื่องเหล่านี้น่ารู้จัก น่าศึกษา มิใช่เพื่อจะไปแก้แค้นหรือเอาไปทำมิดีมิร้ายกับใคร แต่เพื่อเป็นข้อมูลทางการศึกษาเพื่อให้รู้ความเป็นจริง หรือเพื่อเป็นสถิติข้อมูลว่าการลบหลู่ศาสนาทำนองนี้คนในศาสนาไหนทำกับศาสนาไหนมากกว่ากัน

อย่างน้อยเมื่อพบเห็นคนในฝ่ายนั้นค่ายนั้นเข้ามาทำท่าเป็นไมตรีกับเรา เราจะได้รู้ทัน และแสดงให้เขารู้ว่าเรารู้ทัน

การแสดงให้เขารู้ว่าเรารู้ทัน เป็นวิธีป้องปรามได้ทางหนึ่งว่า-อย่าทำอย่างนี้อีก

ผมเชื่อว่า ในหมู่พวกเรา คนที่มีความสามารถทางหาข้อมูลก็มีอยู่มาก เช่นสื่อต่างๆ เป็นต้น แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจที่จะสืบค้น คงได้แต่เอาผลงานออกมาเผยแพร่ แล้วก็ได้แต่ตำหนิติเตียนกันไป

ตรงนี้ได้ความจริงว่า เรามีแต่คนที่ดุด่าอาละวาด แต่ขาดคนที่มีอุตสาหะสืบค้นข้อมูลด้วยสติปัญญา

อนึ่ง คนที่ดุด่าอาละวาดนั้นก็ทำอยู่พักเดียว ไม่นานก็ลืมกันไป เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

………

๒ เจตนาของคนที่ทำภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องถามหรือไม่ต้องสงสัยอะไร เพราะชัดอยู่แล้วว่าทำเพื่อลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ใช่เพราะไม่รู้ เพราะคึกคะนอง หรือเพราะเข้าใจผิด (ซึ่งมักจะแก้ตัวไปแบบนั้นถ้าเกิดมีการคาดคั้นเอาผิดเอาโทษ) 

ที่จริง ถ้าคิดจะโต้ตอบให้เป็นเนื้อเป็นหนัง ไม่ใช่เอาแต่ร้องด่าเอะอะอย่างที่ทำๆ กัน ก็ควรสืบหาความเป็นจริงว่าคนกลุ่มไหนทำ ถ้าคนกลุ่มนั้นนับถือศาสนาอะไร ก็โต้กลับว่าศาสนาของคุณสอนให้ลบหลู่ศาสนาอื่นแบบนี้เองหรือ

การพูดตอบกลับแบบนี้อาจไม่ใช่วิธีที่ดี (บางทีอาจจมีผู้อ้างหลัก-เขาด่าเรา เราด่าตอบ เราเลวกว่าเขา-ขึ้นมาปรามพวกเรากันเองด้วยซ้ำไป) แต่ผมเชื่อว่าได้น้ำได้เนื้อกว่าการด่าแบบตลาดๆ ทั้งเป็นการตอบแบบตรงเป้า ไม่ใช่ด่ากราดโดยไม่รู้ว่าด่าใคร

ที่ว่ามานี้เป็นเพียงวิธีตอบแนวหนึ่งเท่านั้น อาจมีวิธีที่ลึกซึ้งกว่านี้ แนบเนียนหนักหน่วงกว่านี้ ก็ช่วยกันเสนอ-แสดงออกมา แต่หลักก็คือ ใช้เหตุผลตอบโต้กัน ให้ผู้กระทำได้คิดว่าเขาไม่ใช่เป็นฝ่ายทำเอาข้างเดียว แต่จะต้องได้รับการตอบโต้อย่างสาสมจริงๆ ด้วย

แต่เมื่อเราไม่มีข้อมูลที่ควรจะมี การคิดจะทำอะไรๆ ก็จึงพลอยติดตันไปด้วย

………

๓ แต่ที่ควรจะสลดใจมากกว่าอื่นใดก็คือ ผู้บริหารกิจการบ้านเมืองและกิจการพระศาสนาของเราเอง ที่ไม่รู้สึกรู้สม มองไม่รู้ดูไม่เห็นว่าการกระทำเช่นนี้จะเป็นภัยเสียหายอะไร และไม่ได้แสดงอาการเดือดร้อนใดๆ 

ท่านอาจถือคติว่า…

– ไม่ควรลดตัวไปตอบโต้กับคนเลว

– พระศาสดาของพวกเราสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นมิใช่หรือ

– ความเสื่อมความเจริญของพระศาสนาไม่ได้อยู่ที่มีใครเขาด่าเขาว่าเขาลบหลู่ แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของพวกเราด้วยกันเอง

– สัจธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่มีใครจะมาทำลายให้สูญไปจากโลกได้

ฯลฯ 

ฯลฯ

อะไรทำนองนี้ 

ถ้าการกระทำทำนองนี้เกิดแก่ท่านผู้ใดเป็นส่วนตัว จะยึดถือคติไม่ตอบไม่โต้ ก็เป็นสิทธิที่จะพึงทำได้ 

แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกิดแก่สิ่งที่เป็นสมบัติของส่วนรวม ก็ควรต้องมีท่าทีที่เหมาะสมและต้องชัดเจนด้วย ว่าจะเอาอย่างไร

คนไทยแต่เดิมมักถือคติอย่างหนึ่ง- ถ้าถอดเป็นคำพูดอาจเข้าใจได้ง่ายขึ้น คือเหมือนกับพูดว่า เอ็งด่าข้า ด่าไปเถิด สามวันเจ็ดวัน เชิญตามสบาย ข้าไม่ว่า แต่ถ้าด่าพ่อข้าแม่ข้า ด่าครูบาอาจารย์ข้า ข้าไม่ยอม

เวลานี้ก็เหมือนมีคนมาด่าถึงพ่อถึงแม่ ถึงครูบาอาจารย์แล้ว

แต่ผู้บริหารกิจการบ้านเมืองและกิจการพระศาสนาของเราก็ยังคงถือคติ-เชิญตามสบาย ข้าไม่ว่าอะไร —

๔ กลุ่มคนที่เรียกรู้กันว่าคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ซึ่งในห้วงเวลาที่ผ่านได้แถลงวาทะกระเทือนวงการสงฆ์อยู่เนืองๆ ว่าจะต้องแก้ไขนั่นนี่โน่น อันมีนัยว่ารักและห่วงพระศาสนา ก็ไม่เคยแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับกรณีลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้ให้เอะอะเอิกเกริกขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ในบ้านเมืองเรามีหน่วยงาน องค์กร ซึ่งทำงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทั้งที่เป็นของทางราชการและเอกชนมากมายจนนับไม่ถ้วน

มีประชาชนทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาทั้งส่วนตัวและส่วนรวมขวักไขว่ไปมาไม่มีเวลาว่างเว้น 

เฉพาะที่เสนอผ่านทางเฟซบุ๊กแต่ละวันนี่ก็อนุโมทนาสาธุกันไม่หวาดไหว

แต่เมื่อเกิดกรณีลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้ พระพุทธศาสนากลับดูคล้ายเด็กกำพร้า หรือคนไร้ญาติขาดมิตร

ใครจะเตะ ใครจะต่อย ใครจะเขกหัว ใครจะถุยล้ำลายรดหน้า ก็ไม่มีผู้ปกครองออกมาปกป้องช่วยเหลือ

พระพุทธศาสนาเหมือนกับไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครจะทำอะไรเล่นก็ได้หมด ผู้บริหารบ้านเมืองและบริหารพระศาสนาไม่ได้เดือดร้อนอะไร 

ไม่มีนโยบาย ไม่มีมาตรการ ไม่มีวิธีการพิทักษ์ปกป้องใดๆ ทั้งสิ้น

หรือมี ก็ไม่ได้ทำ 

ถึงทำ ก็ไม่ได้ทำจริง

เวลานี้ทุกคนคิดเหมือนกันหมด-เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน

………

๕ ในแง่ส่วนตัว ไม่ควรทำอะไรที่จะพาตัวเองไปตกนรก

แต่เมื่ออยู่กันเป็นหมู่คณะสังคมประเทศชาติ ผู้นำผู้บริหารต้องกล้าที่จะตกนรกแทนประชาชนคนของตัว

ลิงตัวหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า –

ตํ  มํ  น  ตปฺปตี  พนฺโธ

วโธ  เม  น  ตเปสฺสติ

สุขมาหริตํ  เตสํ

เยสํ  รชฺชมการยึ.

ข้าพเจ้าจะถูกขังหรือถูกฆ่า

ก็จะไม่เดือดร้อนอะไร

เพราะข้าพเจ้าได้นำความสุขมาให้

แก่หมู่ชนที่ยกย่องให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำ

(มหากปิชาดก สัตตกนิบาต ๒๗/๑๐๕๕)

ถอดความเป็นภาษาไทยโดยสันทัดว่า –

ขอทำหน้าที่ผู้นำให้ดีที่สุด

เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

จะตกนรกหรือจะเป็นอะไรก็ให้มันรู้ไป

…………

ฤๅเวลานี้ถึงคราที่จะต้องพากันอายลิง

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *