อย่าหลงเป้าหมายลวง
อย่าหลงเป้าหมายลวง
———————–
ตอนนี้นักเรียนบาลีชั้นเปรียญธรรม ๖-๗-๘-๙ สอบเสร็จแล้ว ส่วนชั้นประโยค ๑-๒ และเปรียญธรรม ๓-๔-๕ จะสอบในวันที่ ๑๐-๑๑-๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
การสอบบาลีของคณะสงฆ์กำหนดเป็นวันทางจันทรคติตายตัวทุกปี คือ
วันขึ้น ๒-๓-๔-๕-๖ เดือน ๓ สอบชั้นเปรียญธรรม ๖-๗-๘-๙
วันแรม ๑๐-๑๑-๑๒ ค่ำเดือน ๓ สอบชั้นประโยค ๑-๒ และเปรียญธรรม ๓-๔-๕
ชั้นเปรียญธรรม ๖-๗-๘-๙ ที่สอบเสร็จไปเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ยังไม่ได้ตรวจข้อสอบ ต้องรอให้ชั้นประโยค ๑-๒ และเปรียญธรรม ๓-๔-๕ สอบเสร็จแล้วจึงกำหนดวันตรวจข้อสอบพร้อมกัน แล้วประกาศผล
ระหว่างที่รอนี้ มีคำถามของผู้อยากรู้ว่า ทำไมพระเณรในเมืองไทยจึงต้องเรียนภาษาบาลี
ทำไมไม่เรียนภาษาสันสกฤต ภาษาละติน หรือภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ
ทำไมต้องบาลี
คำถามนี้ชาวบ้านเป็นผู้ถาม แต่ผมฟังแล้วก็ฉุกคิดว่า ตัวพระเณรเองเคยถามกันหรือไม่ว่า ทำไมต้องเรียนบาลี
เป้าหมายของการเรียนบาลีอยู่ตรงไหน
ถ้าจับจุดตรงนี้พลาด ก้าวต่อไปก็พลาดหมด
เรียนเพื่อสอบได้ จะได้เป็น “มหา”
จะได้ได้ชื่อ “ประโยคเก้า”
หรือถ้าเป็นสามเณร ก็หวังจะได้เป็นนาคหลวง-เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล
เรียนเพื่อจะเอาวุฒิทางบาลีไปสอบเข้ารับราชการ
หรือเอาไปเทียบวุฒิกับทางโลก คือเรียนเพื่อเป็นบันไดไต่ไปสู่ความเป็นผู้มีวุฒิการศึกษาทางอื่นๆ ต่อไปอีก
หรือเรียนเพื่อที่ว่า-ถ้าอยู่ทางพระต่อไปก็จะได้มีสมณศักดิ์และมีตำแหน่งทางคณะสงฆ์ที่สูงๆ ดีๆ
อย่างที่บอก-ถ้าจับจุดตรงนี้พลาด ก้าวต่อไปก็พลาดหมด
คำตอบที่ควรรู้ก่อนก็คือ-เรียนบาลีเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ศึกษาพระคัมภีร์ให้แตกฉานอันจะเป็นเหตุให้เข้าใจ ปฏิบัติตาม และเผยแผ่พระธรรมวินัยที่ถูกต้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือเป้าหมายที่ถูกต้องของการเรียนบาลี
สรุปใหม่-เรียนบาลีเพื่อ –
๑ ใช้เป็นอุปกรณ์ศึกษาพระคัมภีร์ให้แตกฉาน
๒ เมื่อแตกฉานแล้วก็จะได้เข้าใจพระธรรมวินัยได้ถูกต้อง
๓ เมื่อเข้าใจถูกต้องก็จะได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ถูกต้อง
๔ ต่อจากนั้นก็จะสามารถเผยแผ่พระธรรมวินัยที่ถูกต้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือเป้าหมายที่ถูกต้องของการเรียนบาลี
คำสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาท-อันเป็นคำสอนที่เรานับถือกันอยู่ในเมืองไทย-ท่านบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี อันเป็นภาษาที่มีกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ทำให้ความหมายกลายหรือเบี่ยงเบนไปจากเดิมได้ยากที่สุด
ใครจะโต้แย้งประเด็นนี้ ขอโอกาสยกไปไว้ที่เวทีอื่นก่อนนะครับ
คัมภีร์บันทึกคำสอนในพระพุทธศาสนาที่เรียกรู้กันสั้นๆ ว่า พระบาลี หรือพระไตรปิฎก ในเมืองไทยนี้ดั้งเดิมจริงๆ ท่านจารลงบนใบลาน ส่วนมากเป็นอักษรขอม-ตามความนิยมเชื่อถือในสมัยนั้น แต่ภาษาก็ยังคงเป็นภาษาบาลี
เมื่อประมาณหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ตำราที่จะใช้เรียนบาลีค่อนข้างหายาก หนังสือบาลีที่พิมพ์เป็นเล่มกระดาษก็หายาก
ก่อนหน้านั้นผู้เรียนบาลีต้องอาศัยตำราที่จารจารึกบนใบลาน-สมุดข่อย
ในสมัยที่การสอบบาลียังเป็นการสอบปากเปล่า-ไม่ใช่สอบด้วยการเขียนลงบนกระดาษอย่างในปัจจุบัน-นักเรียนผู้เข้าสอบต้องแบกคัมภีร์ใบลานที่จารเป็นอักษรขอมเข้าไปแปลปากเปล่าให้กรรมการฟัง
เมื่อการสอบเปลี่ยนมาเป็นสอบเป็นข้อเขียน ในระยะแรกๆ วิชาวากยสัมพันธ์ยังกำหนดให้นักเรียนเขียนคำตอบเป็นอักษรขอมด้วย
…………
วันหนึ่ง สมัยผมเป็นพระ พระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธิโมลี (ช้อย มหาธีโร) ป.ธ.๙ (๒๕๐๐) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุราชบุรี อดีตเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ท่านเรียกผมไปพูดธุระอะไรอย่างหนึ่ง เสร็จธุระแล้วท่านเขียนอะไรง่วนอยู่ ผมยังไม่ทันลุกออกมา ท่านก็เงยหน้าขึ้นมาถามผมว่า “ตัว เอ เขียนยังไงหว่า เคยเขียนตั้งแต่สมัยสอบสัมพันธ์ ชักลืมซะแล้ว มหาย้อยอ่านขอมได้ไม่ใช่รึ”
…………
พยานหลักฐานที่ยังยืนยันสืบมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ธรรมเนียมพระเทศน์ต้องถือคัมภีร์ใบลาน
คัมภีร์ใบลานคือคัมภีร์ภาษาบาลีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พระที่เทศน์ต้องรู้ภาษาบาลีจึงจะเทศน์ได้ นั่นหมายถึงพระจะไม่เทศน์ตามใจชอบ-เหมือนนักเทศน์สมัยนี้-แต่จะต้องเทศน์ตามคัมภีร์ (ภายหลังจึงเกิดคัมภีร์สำนวนเทศน์ภาษาไทย แต่ยังคงเขียนเป็นตัวอักษรขอม เรียกกันว่า “ขอมไทย”)
สำนวนเทศน์ที่ยกบาลีขึ้นมาคำหนึ่งแล้วแปลเป็นไทย-เช่นในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก-ก็เป็นพยานยืนยันว่าผู้เทศน์ต้องรู้บาลี
วิธีแปลบาลีในชั้นเรียนที่เรียกกันว่า “แปลยกศัพท์” ก็เป็นพยานยืนยันได้ว่านั่นคือต้นแบบของการแสดงธรรม
ว่ากันว่า สมัยก่อนตามสำนักเรียนบาลีต่างๆ เวลาพระเณรท่านแปลบาลีในชั้นเรียน จะมีชาวบ้านมานั่งฟังด้วยเหมือนกับมาฟังเทศน์ ถือกันว่าเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ว่าเราเรียนบาลีกันไปทำไม
พึงเข้าใจให้ถูกด้วยว่า คัมภีร์ที่ท่านกำหนดใช้เป็นหลักสูตรให้เรียนกันนั้นเป็นเพียงบทฝึกหัด ดังที่รู้กันว่านักเรียนบาลีตั้งแต่ประโยค ๑-๒ ไปจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยคยังไม่ได้เรียนตัวพระไตรปิฎกจริงๆ เลย เพราะคัมภีร์ที่กำหนดให้เรียนเป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมาทั้งสิ้น
รู้จักชื่อคัมภีร์ไว้สักหน่อยก็ดี
๑ ธัมมปทัฏฐกถา (อรรถกถา) ชั้นประโยค ๑-๒ และ ป.ธ.๓
๒ มังคลัตถทีปนี (ปกรณ์พิเศษ) ชั้น ป.ธ.๔ และ ๕
๓ สมันตปาสาทิกา (อรรถกถา) ชั้น ป.ธ.๖ และ ๗ (ชั้น ป.ธ.๖ แต่เดิมใช้คัมภีร์กังขาวิรณี อรรถกถาพระปาติโมกข์)
๔ วิสุทธิมรรค (ปกรณ์พิเศษ) ชั้น ป.ธ.๘
๕ อภิธัมมัตถวิภาวินี (ฎีกา) ชั้น ป.ธ.๙
จะเห็นได้ว่า พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม และอรรถกถาฎีกาอนุฎีกาโยชนารวมกันอีกนับ ๑๐๐ คัมภีร์ ที่เป็นแหล่งรวมคำสอนในพระพุทธศาสนา ยังไม่ได้เรียนเลย
การเรียนบาลีตามหลักสูตรจึงเท่ากับการฝึกฝนเตรียมตัวเพื่อเปิดประตูเข้าไปสู่โลกแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนาต่อไปนั่นเอง
การสอบได้จนถึงเปรียญธรรมชั้นสูงสุดจึงไม่ใช่การสำเร็จการศึกษาตามความหมายในพระพุทธศาสนา
แท้ที่จริงเป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะลงมือศึกษาเท่านั้น
เริ่มต้นที่จะลงมือ-เท่านั้น
ยังไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ
ผู้ที่เรียบจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นเพียงผู้มีสิทธิ์ได้รับกุญแจเพื่อไขตู้พระไตรปิฎกเท่านั้น
ภารกิจต่อจากนั้นไปก็คือการใช้กุญแจที่ได้รับไขตู้พระไตรปิฎกเพื่อศึกษาวิจัย ปฏิบัติ และถ่ายทอดต่อไป
อุปมาเหมือนนักเรียนแพทย์ที่เรียนสำเร็จแล้ว มีสถานะเป็นหมอเต็มตัว
สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือลงมือรักษาคนป่วยให้หายจากโรค-ตามสาขาที่ตนเรียนมา
จะเป็นอย่างไร-ถ้าผู้มีสิทธิ์ได้รับกุญแจเพื่อไขตู้พระไตรปิฎก ได้กุญแจมาแล้วก็เอามาประดับเป็นเกียรติว่า “ข้าคือผู้ได้รับกุญแจ”
แต่ไม่เคยคิดจะใช้กุญแจนั้นไขตู้พระไตรปิฎก
จะเป็นอย่างไร-ถ้านักเรียนแพทย์ที่เรียนสำเร็จเป็นหมอแล้ว เอาแต่ภาคภูมิใจว่า “ข้าเป็นหมอ”
แต่ไม่เคยคิดที่จะรักษาคนป่วยให้หายจากโรค
…………
ครั้งหนึ่งผมมีงานแปลภาษาบาลีให้วัด เป็นงานที่ทำเพื่อการกุศล ผมแบกงานไปขอร้อง “เปรียญเก้า” ท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของวัดนั้นนั่นเองให้ช่วยแปล เพื่อผมจะได้ไปจับงานด้านอื่นที่ยังรออยู่อีกหลายงาน
ท่านตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “แปลไม่ได้”
…………
เรามาถึงยุคสมัยที่หมอบอกแก่คนป่วย-ซึ่งเป็นโรคในแนวทางที่ตนเรียนมานั่นเอง-ว่า “ฉันรักษาไม่เป็น” แล้วกระนั้นฤๅ
——————-
ผมไม่ได้แอนตี้ หรือต่อต้านการเรียน-การสอน-การสอบบาลีแบบที่กำลังเป็นอยู่
ตรงข้าม ผมสนับสนุนอย่างยิ่ง
วัดไหนให้ผมไปช่วยติวบาลีให้ ผมก็ไปโดยไม่ต้องมีค่าตัว
นักเรียนบาลีท่านไหนขัดข้องทางวิชาการ ผมก็ช่วยชี้แนะ
ถึงฤดูกาลสอบบาลี-นักธรรม ผมก็ป่าวร้องญาติพี่น้องช่วยกันทำอาหารไปเลี้ยงพระทุกปี จนเป็นประเพณีของตระกูลไปแล้ว
ผมเพียงแต่กำลังจะบอกว่า เราต้องก้าวต่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ถูกต้อง
ที่ผ่านมาและที่กำลังเป็นอยู่ ไม่หลงทางก็เหมือนหลงทาง
เพราะไปเน้นกันที่-เรียนเพื่อสอบได้
เพราะติดกันอยู่แค่เป้าหมายที่เบี่ยงเบน หรือเป้าหมายลวง
จึงขอให้ก้าวทะลุออกไป แล้วเดินต่อไปให้จงได้
ไม่ใช่หยุดอยู่แค่สอบได้-แล้วภาคภูมิใจว่าถึงฝั่งแล้ว
ขอให้ดูความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม
ผู้คนปฏิบัติผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากหลักพระธรรมวินัย มีอยู่ทั่วไป
เงื่อนแง่ทางพระธรรมวินัยว่าอะไรถูกอะไรผิด มีอยู่เกลื่อนกล่น หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้
ในขณะที่ผู้เรียนบาลีจนจบประโยคสูงสุด-ที่เราชื่นชมกัน-ก็มีอยู่เกลื่อนกล่น แต่ไม่ได้ช่วยหาคำตอบอะไรให้สังคม
กระนี้แล้วจะต่างอะไรกับหมอที่เรียนจบออกมาแล้ว แต่ไม่รักษาคนป่วย-ทั้งๆ ที่คนป่วยก็มีอยู่เกลื่อนกล่น
——————–
ได้ยินมาว่ามีการเสนอให้ผู้สอบเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้มีสถานภาพเป็น “ดอกเตอร์” คือเป็นดุษฎีบัณฑิตอยู่ในทำเนียบของสังคมด้วยสาขาหนึ่ง
แต่มีกระแสคัดค้าน
ญาติมิตรท่านหนึ่งซึ่งเป็นดอกเตอร์ตัวจริงบอกผมว่า แบบนั้นดอกเตอร์ที่เขาต้องทำงานวิจัยแทบล้มประดาตายจึงสำเร็จมาได้ก็ไม่มีความหมายอะไรในเมื่อเพียงแค่ทำข้อสอบภาษาบาลีบนกระดาษแผ่นเดียวได้ก็เป็นดอกเตอร์ได้แล้ว
ฟังแล้วได้ยินกระแสเสียงดูแคลนอย่างชัดเจน-ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
สมควรอย่างยิ่งที่เขา-และนักวิชาการปฏิบัติการทั้งหลาย-จะต้องรู้สึกเช่นนั้น
ผมเห็นว่า วิธีที่จะให้สังคมยอมรับว่าผู้เรียนมาทางบาลีควรแก่เกียรติยศที่จะเป็นดุษฎีบัณฑิตได้อย่างภาคภูมิก็คือการลงมือปฏิบัติกับพระคัมภีร์
จบบาลีแล้ว ได้กุญแจมาแล้ว เดินหน้าเข้าหาตู้พระไตรปิฎก
อัญเชิญพระคัมภีร์ออกมาศึกษาวิจัยให้ทะลุปรุโปร่ง
งานที่จะจัดจะทำกับพระคัมภีร์-แต่ไม่มีใครทำ-ยังมีอีกมากมายมหาศาล
ยกตัวอย่างเล่นๆ เท่าที่นึกได้ทันทีเดี๋ยวนี้ ก็อย่างเช่น
– พจนานุกรมกรมบาลี-ไทย ฉบับสมบูรณ์ (ไม่ใช่ฉบับเบี้ยหัวแตก คนโน้นทำบ้าง คนนี้ทำบ้าง กระจายกันไปหมดอย่างที่เป็นอยู่)
– นามานุกรมบาลี แบบเดียวกับ dictionary of Pali proper names
แค่ ๒ ชิ้นนี่ก็สนุกมือแล้ว ทำสำเร็จจะเป็นเกียรติยศของแผ่นดินไทย ที่เราภูมิใจว่าเป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ก็มีงานวิจัยในแง่มุมอื่นๆ อีกมากมายที่ควรจัดควรทำ-โดยเฉพาะเงื่อนแง่ในพระธรรมวินัยที่ยังเข้าใจผิดปฏิบัติพลาดคลาดเคลื่อนอยู่ทั่วไปในสังคม-ใครมีเวลาก็ขอให้ลองทำ list ออกมาดูเถิด งานกองท่วมหัวแน่ๆ
งานที่เราช่วยกันเข้ามาจับมาทำมาลูบคลำพระคัมภีร์แบบนี้ต่างหากที่สมควรทำ เป็นงานที่กำลังรอผู้เรียนจบบาลีอยู่
เหมือนคนป่วยที่รอหมอ
ช่วยกันทำออกมาให้เป็นผล แล้วสังคมเขาก็จะมองเห็นและตัดสินให้เราเองว่าสมควรแก่การที่จะเป็นดุษฎีบัณฑิตหรือไม่-โดยไม่ต้องเที่ยวสะกิดแขนให้ใครที่ไหนมายกย่อง
ขอให้ดูหลวงพ่อหลวงปู่ที่เราเรียกกันว่าพระสุปฏิบัติ แม้อยู่ตามป่าตามเขาห่างไกลก็ยังมีคนดั้นด้นไปกราบไหว้สักการะ ท่านไม่ได้ร้องขอให้ใครไปเลื่อมใสเลย
การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่านต่างหากเล่าที่ดึงดูดผู้คนไปกันเอง
ฉันใดก็ฉันนั้น
ผมเคยเสนอผู้บริหารการพระศาสนาให้ตั้งหน่วยงานวิชาการพระพุทธศาสนาขึ้นมา ระดมกำลังผู้เรียนจบบาลีให้เข้ามาช่วยกันทำงานศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์หาคำตอบให้แก่ปัญหาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย แล้วเผยแพร่ออกไปให้สังคมรับรู้ ผู้คนจะได้รู้เข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ถ้าสมมุติว่าข้อเสนอนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ หรือท่านผู้สูงกว่านั้นมีกระแสลงมา
ป่านนี้เรียบร้อยไปนานแล้ว
อย่างที่ผมเคยบอกว่า-สั่งเช้า เย็นก็ตั้งเสร็จและลงมือทำงานกันได้ทันที
แต่สังคมไทยเราเห็นความสำคัญของตัวผู้เสนอมากกว่าข้อเสนอเสมอ
เราจึงยังคงอยู่กันแบบนี้-แบบที่-เรื่องควรทำไม่มีใครสั่งให้ทำ แต่เรื่องไม่ควรทำปล่อยให้ทำกันได้อย่างเสรี
ขอให้นักบาลีทั้งหลายที่กำลังรอผลการสอบจงมีกำลังใจที่ทะลุผ่านกำแพงที่ลวงตาลวงใจ-คือหวังเพียงสอบได้-นี่ออกไป แล้วก้าวไปให้ถึงเป้าหมายที่ถูกต้องของการเรียนบาลีโดยทั่วกัน
ลองถามตัวเองดูเถิดว่า –
จบบาลีแล้วไม่ศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์ต่อไป
จะต่างอะไรกับจบแพทย์แล้วไม่รักษาคนป่วย?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
๑๒:๒๘
…………………………….
…………………………….