บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

อย่านั่งรอให้พระท่านเอาความรู้เรื่องมาใส่ปากท่าเดียว

อย่านั่งรอให้พระท่านเอาความรู้เรื่องมาใส่ปากท่าเดียว

———————————————-

วันพระมีทำบุญที่วัด พระลงศาลา ญาติโยมไหว้พระ รับศีล พระสวดถวายพรพระ

“ถวายพรพระ” เป็นคำเรียกบทสวดที่ประกอบด้วย (๑) นะโม (๒) ไตรสรณคมน์ (๓) พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ (๔) พาหุง (๕) มหาการุณิโก (๖) ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง 

เวลาฟังพระสวดมนต์ พระสวดจบบทหนึ่ง ญาติโยมที่พอจะรู้กิริยามารยาททางธรรมก็น้อมไหว้ครั้งหนึ่ง 

แต่ผมน้อมไหว้หลายครั้งในระหว่างบทที่พระสวด 

(๑) จบห้องพุทธคุณ — พุทโธ ภะคะวาติ – น้อมไหว้ครั้งหนึ่ง

(๒) จบห้องธรรมคุณ — เวทิตัพโพ วิญญูหีติ – น้อมไหว้ครั้งหนึ่ง

(๓) จบห้องสังฆคุณ — ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ – น้อมไหว้ครั้งหนึ่ง 

ที่เรียกพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ว่า “ห้อง” นี้เป็นคำคนเก่าท่านเรียกกันมา คนรุ่นใหม่ที่ยังใช้คำนี้ก็มี ผมเห็นว่าเป็นถ้อยคำภาษาที่คนไทยควรรักษาไว้

(๔) บทพาหุง มีคำว่า “ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ” รวมทั้งหมด ๘ ครั้ง น้อมไหว้ทุกครั้งที่จบ “– ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ” รวมน้อมไหว้ ๘ ครั้ง

(๕) บท มะหาการุณิโก จบวรรคที่ว่า “– โหตุ เต ชะยะมังคะลัง” น้อมไหว้ครั้งหนึ่ง 

(๖) บท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง มีคำว่า “สะทา โสตถี ภะวันตุ เต” ๓ ครั้ง น้อมไหว้ทุกครั้งที่จบ “– ภะวันตุ เต”  (“– ภะวันตุ เต” ครั้งที่ ๓ เป็นอันจบถวายพรพระ) 

…………………

มีคนถามผมว่า ลุงมีเหตุผลอะไรที่น้อมไหว้ตรงบทนั้นคำนั้น ในขณะที่คนทั่วไปนั่งประนมมือเฉยๆ น้อมไหว้เฉพาะเมื่อจบแต่ละบท

ผมมีเหตุผลเพราะฟังคำบาลีพอรู้เรื่อง ผมรู้ว่าคำที่พระท่านสวดนั้นแปลว่าอะไร

ผมส่งใจไปตามเสียงที่พระสวด พร้อมไปกับเอาสติกำหนดตามไปทุกๆ คำที่ท่านสวด 

เป็นการเจริญภาวนาอย่างหนึ่ง 

และเพราะผมรู้ว่าคำที่ท่านสวดแปลว่าอะไร ผมจึงน้อมไหว้เมื่อท่านสวดถึงคำนั้นๆ 

จบพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แต่ละห้อง น้อมไหว้เป็นการแสดงอาการรับรู้ คล้ายกับจะบอกพระว่า – 

พระคุณท่านเจริญพระพุทธคุณจบแล้ว สาธุ

พระคุณท่านเจริญพระธรรมคุณจบแล้ว สาธุ

พระคุณท่านเจริญพระสังฆคุณจบแล้ว สาธุ

ทั้งเป็นการเตือนตัวเองว่า ได้เจริญสติกำหนดตามคำสวดของพระท่านไปได้ตลอด ไม่ได้ฟุ้งซ่านไปไหน 

พิสูจน์ได้อย่างไรว่ามีสติ?

พิสูจน์ได้ตรงที่-สามารถกำหนดตามไปได้ว่าท่านสวดบทนั้นๆ จบแล้ว

บทพาหุง คำว่า “ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ” แปลว่า “ด้วยเดชแห่งชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน” 

“ชัยชนะของพระพุทธเจ้า” ที่ท่านนำมาสวด ก็คือทรงชนะมาร ชนะยักษ์ ชนะช้าง ชนะโจร ชนะคนใส่ร้าย ชนะคนอวดเก่ง ชนะพญานาค ชนะพรหม รวม ๘ ครั้ง 

เมื่อสวดบรรยายชนะจบเรื่องหนึ่ง พระท่านก็บอกว่า “ด้วยเดชแห่งชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน” 

ถอดเป็นคำพูดสั้นๆ ก็คือพระท่านพูดกับเราว่า “ขอให้โยมมีชัยมงคลนะโยมนะ”

เพราะผมรู้ว่าพระท่านบอกเราอย่างนี้ ผมจะนั่งนิ่งเฉยได้อย่างไร ผมก็ต้องน้อมไหว้พร้อมกับเปล่งวาจาว่า สาธุ เป็นการตอบรับรู้ในเมตตาธรรมของพระ

ท่านพูดอย่างนี้ ๘ ครั้ง ผมก็น้อมไหว้ทั้ง ๘ ครั้ง

บท มะหาการุณิโก วรรคที่ว่า “– โหตุ เต ชะยะมังคะลัง” แปลว่า “ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน” น้อมไหว้ครั้งหนึ่ง มีเหตุผลเช่นเดียวกับในบทพาหุง 

บท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง มีคำว่า “สะทา โสตถี ภะวันตุ เต” แปลว่า “ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ” 

พระท่านสวดคำนี้ ๓ ครั้ง คืออ้างพุทธานุภาพครั้งหนึ่ง อ้างธรรมานุภาพครั้งหนึ่ง อ้างสังฆานุภาพครั้งหนึ่ง 

ผมน้อมไหว้ทุกครั้งที่จบ “– ภะวันตุ เต” ซึ่งแปลว่า “จงมีแก่ท่าน” 

เหตุผลก็เช่นเดียวกับในบทพาหุง ก็คือพระท่านบอกเราว่า “มีความสุขสวัสดีนะโยมนะ” ถ้าเรารู้ความหมาย เราก็ต้องน้อมไหว้ เป็นการน้อมรับพรของท่าน

ปัญหาน่าคิดก็คือ – แล้วคนที่เขาไม่รู้ความหมาย จะให้เขาทำยังไง 

เขาทำยังไง? คนส่วนมาก-หรือจะว่าทั้งหมดก็ได้-ก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ 

ลองนึกภาพ – 

พระท่านบอกเราว่า – “มีความสุขสวัสดีนะโยมนะ”

เรา – นั่งนิ่ง 

แม้จะประนมมือ แต่ก็ประนมเฉยๆ ไม่ได้แสดงอาการรับรู้ว่าท่านให้พรเรา 

…………………

ผมยกเรื่องนี้มาคุย ก็เพียงเพื่อจะชวนให้คิด คือให้คิดว่า ถ้าเรารู้ความหมายที่พระท่านสวด เราก็จะทำอะไรที่ดีๆ ได้อีกเยอะ

แล้วก็คิดต่อไป-ถึงเรื่องที่คนสมัยนี้เรียกร้องต้องการให้พระสวดมนต์เป็นภาษาไทย หรือสวดคำบาลีแล้วแปลเป็นไทยด้วย 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ไปงานสวดศพ พระสวดพระอภิธรรม จะแสดงความหงุดหงิดเป็นอันมาก บางทีถึงกับโกรธเกรี้ยวว่า พระสวดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง ทำไมไม่เอาคำที่ฟังรู้เรื่องมาสวด

จะเห็นได้ว่า เหตุผลสำคัญที่เรียกร้องให้สวดแปลมีเพียงข้อเดียว-คือ-ต้องการจะฟังให้รู้เรื่อง 

หลายท่านก็เลยออกมาช่วยกันรับรองว่า ใช่แล้ว ควรสวดภาษาที่ฟังรู้เรื่อง แล้วก็เลยบอกว่า ที่คนไปงานฟังสวดคุยกันแข่งกับพระสวดก็เพราะเขาฟังไม่รู้เรื่อง แล้วเรื่องอะไรเขาจะฟัง คุยกันได้ประโยชน์กว่า 

เรื่องนี้ผมอยากจะขออนุญาตให้พวกเราตั้งสติ ถอยมาคิดกันใหม่

พูดตรงๆ ก็คือ อยากจะชวนให้ปรับทัศนคติกันใหม่ 

อันที่จริงก็ไม่ใช่ปรับใหม่ ควรจะเรียกว่า-ปรับไปหาของเก่า นั่นก็คือ คนเก่าท่านพูดกันมาว่า 

“ฟังสวดเอาสมาธิ ฟังเทศน์เอาปัญญา”

มีอธิบายว่า บทที่พระท่านเอาสวดนั้นเป็นหลักธรรมคำสอน เป็นตัวบทหรือตัวสูตรซึ่งต้นฉบับเป็นภาษาบาลี 

ตัวบทหรือตัวสูตรนั้นต้องรักษาไว้ให้แม่นยำ คลาดเคลื่อนไม่ได้ 

การเอาตัวบทหรือตัวสูตรมาสวดจึงเป็นการสาธยายคือทบทวนหลักคำสอนเพื่อให้จำได้มั่นคงแม่นยำ 

คนส่วนมากไม่รู้บาลี เมื่อฟังพระสวดมนต์ในงานใดๆ ก็ตาม คนเก่าท่านจึงแนะให้ “ฟังเอาสมาธิ” 

วิธีการก็คือ เมื่อพระท่านเริ่มสวดตั้งแต่ขึ้น นะโม เป็นต้นไป ให้เจริญสติกำหนดตามเสียงที่ได้ยินนั้นไปทุกๆ คำ 

ไม่ใช่กำหนดเพื่อจะให้รู้เรื่อง 

แต่กำหนดให้รู้ทันว่า เรากำลังได้ยินคำนี้ แล้วต่อไปทันใดนั้นก็ได้ยินคำนั้น แล้วก็คำนั้น คำนั้น … 

ส่งสติกำหนดตามไปให้ทันทุกคำ

เพียงให้รู้ตัวว่ากำลังฟัง หรือกำลังได้ยินเท่านั้น

อย่าตั้งอารมณ์ว่า-อยากรู้เรื่อง 

ในระหว่างฟัง ถ้าจิตแล่นไปในอารมณ์อื่น ก็ดึงกลับมา ให้อยู่กับเสียงที่พระสวด 

นี่คือวิธี “ฟังสวดเอาสมาธิ” 

ขอให้ลองปรับทัศนคติหันมาใช้วิธีนี้-ทุกครั้งที่ฟังพระสวด 

เป็นการปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิอย่างวิเศษ 

รับรองว่าท่านจะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง 

แล้วท่านจะเลิกโวยวายว่า-ทำไมพระไม่สวดให้ฟังรู้เรื่อง

ผมขอยืนยันว่า ต่อให้พระสวดเป็นภาษาไทยทุกคำ ท่านก็ยังจะบ่นว่าไม่รู้เรื่องอยู่นั่นเอง ดังที่มีคนบ่นมาตลอดว่า พระไตรปิฎกแปลเป็นไทยแล้วก็ยังอ่านเข้าใจยาก 

ทำไมไม่แปลให้อ่านเข้าใจง่ายๆ 

โดนอีกจนได้ 

ใจคอของคนสมัยนี้ก็คือ นั่งอ้าปากรอให้มีคนเอา “ความรู้เรื่อง” มาตักใส่ปาก ตัวเองทำหน้าที่กลืนอย่างเดียว 

พระสวดปุ๊บ

ตัวเองฟังปั๊บ

ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป๊ะ

ต้องสวดแบบนี้จึงจะยอมรับว่า-ฟังรู้เรื่อง

ไม่ต้องคิดเอง 

ไม่ต้องขวนขวายเอง 

ไม่ต้องปฏิบัติเอง 

จะเอาแต่ผลสำเร็จเท่านั้น 

ถ้าต้องการผลสำเร็จ คนเก่าท่านก็บอกแล้วว่า “ฟังเทศน์เอาปัญญา”

ต้องการผลสำเร็จ ต้องใช้ปัญญา 

จะมีปัญญา ต้องฟังเทศน์ 

คำว่า “ฟังเทศน์” นี้เป็นคำสัญลักษณ์ หมายถึงศึกษาค้นคว้า วิธีการศึกษาของคนสมัยก่อน ใช้การฟังเป็นหลัก ฟังเทศน์จึงเป็นทางให้เกิดปัญญาวิธีหนึ่ง แต่อย่าเถรตรงกับภาษา 

ปัจจุบันนี้วิธีแสวงหาปัญญาทางธรรมทำได้หลากหลายวิธี อ่านเอาเอง ฟังเอาเอง สงสัยคำไหนข้อไหนไต่ถามท่านผู้รู้ เหล่านี้ล้วนเป็นความหมายของ “ฟังเทศน์เอาปัญญา” ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น กรุณาเลิกเอาเป็นเอาตายจะรู้เรื่องให้ได้เฉพาะเวลาฟังสวด เลิกคาดคั้นให้พระสวดให้ฟังรู้เรื่องให้ได้ 

ฟังสวด เจริญสมาธิ ต่อจากนั้นอยากรู้เรื่องอะไร ไปศึกษาค้นคว้าเอา 

อย่าอ้างว่าไม่มีเวลา

ถ้ามีเวลาดูหนังฟังเพลงดูละคร ก็ต้องมีเวลาศึกษาธรรมะ บริหารเวลาให้ดีๆ เถิด

เรานี่แหละครับสามารถไปแสวงหา “ความรู้เรื่อง” เอาเองได้ด้วยตัวเราเอง

อย่านั่งรอให้พระท่านเอาความรู้เรื่องมาใส่ปากให้เฉพาะในเวลาฟังสวด 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

๑๔:๕๒

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *