เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้
เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้
———————-
และทุกๆ วัน ตลอดไป
ตั้งแต่ขึ้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา ผมสังเกตเห็นว่าญาติมิตรทั้งหลายต่างพากันแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ กันอย่างพร้อมเพรียงกัน จนรู้สึกว่าเดือนนี้พูดเรื่องอะไรที่ไม่ใช่การแสดงความอาลัยในพระองค์ท่านก็ดูเหมือนจะผิดกาลเทศะอยู่สักหน่อย
แล้วผมรู้สึกอย่างไร?
คำตอบคือ ผมรู้สึกปกติ
ถ้าอธิบายด้วยการรักษาศีลอาจเข้าใจได้ง่าย
คำว่า “ปกติ” เป็นความหมายหนึ่งของ “ศีล”
ผมรักษาศีล ๑๐ มาตั้งแต่อายุ ๑๖ คือเมื่อผมบวชเณร รักษาอยู่ ๔ ปี
ต่อด้วยบวชพระ รักษาศีล ๒๒๗ รักษาอยู่ ๑๐ ปี
เมื่อลาสิกขาเป็นฆราวาส ก็ตั้งใจรักษาศีล ๕ ทุกวันตลอดชีวิต
วันพระรักษาศีลเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ คือศีลอุโบสถ แรกๆ วันพระละ ๑ วัน
ตอนนี้เพิ่ม “วันรับ” กับ “วันส่ง” เข้าไปอีก ๒ วัน เป็นอันว่าถือศีลอุโบสถสัปดาห์ละ ๓ วัน
ศีล ๕ กับศีลอุโบสถของผมสำเร็จด้วยการตั้งเจตนา คือสมาทานโดยวิธีตั้งเจตนา ไม่ขึ้นอยู่กับพิธี คือไม่ขึ้นอยู่กับว่าต้องไปวัด ต้องอาราธนาศีล พระให้ศีล กล่าวคำสมาทานตามพระ จนเสร็จพิธีจึงเป็นอันว่าได้รักษาศีล
ทำแบบนั้นก็ได้ ก็ใช่ เมื่อเป็นโอกาสที่จะต้องทำแบบนั้น ก็ทำ เช่นเวลาไปทำบุญวันพระที่วัดเป็นต้น
แต่ถึงจะไม่ต้องทำแบบนั้น เมื่อตั้งเจตนาก็เป็นอันได้รักษาศีลแล้วทันที
ชาวบ้านทั่วไป พอถึงวันพระก็รักษาศีล ๕ กันทีหนึ่ง (บางคนก็รักษาศีลอุโบสถหรือศีล ๘) แต่ก็รักษากันวันเดียว พ้นวันพระไปแล้วก็เลิก ถึงวันพระต่อไปก็รักษากันใหม่
วันพระจึงเป็นวันรักษาศีล ๕ (หรือศีล ๘) ตามปกติของคนทั่วไป
แต่สำหรับคนที่ตั้งเจตนารักษาศีล ๕ ทุกวัน ก็ไม่ต้องรอวันพระ เพราะทุกวันเป็นวันรักษาศีล ๕ เป็นปกติอยู่แล้ว
พูดอีกนัยหนึ่ง คนทั่วไปมีวันพระ-รักษาศีล ๕ สัปดาห์ละ ๑ วัน
แต่ผมมีวันพระสัปดาห์ละ ๗ วัน คือทุกวันเป็นวันพระ เพราะรักษาศีล ๕ ทุกวัน
แบบนี้คือรักษาศีลเป็นปกติ
กลับมาที่การคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ (ขออนุญาตเรียกง่ายๆ แบบนี้ กรุณาอย่าถือสาว่าใช้คำไม่ถูกต้อง)
ถ้าคิดถึงเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมที่จะมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ก็คือคิดถึงแบบพิเศษ ไม่ใช่แบบปกติ
หรือถ้าใครจะคิดถึงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว คือตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ อันเป็นวันสวรรคต และคิดถึงเรื่อยมาจนถึงเดือนนี้ ก็ถือว่ายังเป็นการคิดถึงแบบพิเศษอยู่นั่นเอง เพราะคิดถึงเฉพาะปีที่แล้วถึงปีนี้
หรือแม้แต่ใครจะคิดถึงตั้งแต่ทรงพระประชวรเรื่อยมาจนถึงเสด็จสวรรคต แล้วยังคงคิดถึงเรื่อยมาจนถึงวันที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ ก็ยังอาจจะไม่ใช่การคิดถึงแบบปกติ เพราะไม่รู้ว่าหลังวันถวายพระเพลิงไปแล้วจะยังคิดถึงอยู่หรือเปล่า หรือว่าจะยังคิดถึงต่อไปได้อีกกี่วัน
ถ้าจะทำให้เป็นการคิดถึงเป็น “ปกติ” ก็คือคิดถึงทุกวัน
ไม่ใช่เฉพาะตั้งแต่ทรงพระประชวร แต่ต้องถอยไปให้ถึง-ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เรื่อยมาจนถึงวันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป
ตราบนิจนิรันดร์-อย่างที่เราประดิษฐ์คำหรูๆ ขึ้นมาใช้พูดกัน-ซึ่งไม่ควรจะเป็นเพียงการพูดแต่ปาก
———————
ผมก็เหมือนคนไทยส่วนมาก คือไม่เคยเห็นพระองค์จริงของในหลวงรัชกาลที่ ๙
ได้เห็นแต่พระบรมฉายาลักษณ์ และได้เห็นภาพเห็นข่าวจากสื่อมวลชน
จนกระทั่งเมื่อปี ๒๕๑๑ ผมเป็นพระ สอบเปรียญธรรม ๖ ประโยคได้ ได้เข้าไปรับพระราชทานประกาศนียบัตร พัดยศ ในพิธีทรงตั้งเปรียญ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งศกนั้นเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง
ผมจึงได้เห็นพระองค์จริง
ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ ผมก็คิดถึงพระองค์ท่านทุกวัน
ผมมีถ้อยคำที่ใช้พูดในเวลาคิดถึงพระองค์ท่าน เป็นถ้อยคำส่วนตัวที่ผมคิดของผมเอง ไม่เคยพูดให้ใครฟัง
เมื่อสวดมนต์ประจำวันเสร็จ ผมจะสำรวมจิตกล่าวถ้อยคำว่า –
…………………..
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (หมายถึงรัชกาลที่ ๙)
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
ไม่ว่าจะประทับอยู่ ณ ที่ใดๆ
ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
เจริญพระชนมายุยิ่งยืนนานเทอญ
…………………..
ผมพูดถ้อยคำนี้หลังสวดมนต์ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว
พูดมา ๕๐ปี หรือครึ่งศตวรรษแล้ว
เมื่อเสด็จสวรรคตในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ หลังสวดมนต์วันนั้นและวันต่อมาผมยังพูดถ้อยคำเดิมอยู่อีกตั้งหลายวัน เพราะติดปาก
ตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนถ้อยคำใหม่เป็นว่า –
…………………..
ขอถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
อนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (หมายถึงรัชกาลที่ ๑๐)
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙
และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
ไม่ว่าจะประทับอยู่ ณ ที่ใดๆ
ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
เจริญพระชนมายุยิ่งยืนนานเทอญ
…………………..
ผมจะคิดถึงตามแบบของผมอย่างนี้ทุกวันตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ที่บอกว่า-ผมรู้สึกปกติ-มีความหมายดังที่อธิบายมานี้
———————
เมื่อได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็นถึงความตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ กับการตระเตรียมงานทั้งหลายทั้งปวงที่ชาวเรากำลังกระทำเพื่อพระองค์ท่านอยู่ในเวลานี้เป็นพิเศษ ผมก็อนุโมทนากับทุกคนทุกฝ่าย
แต่ตัวผมเองรู้สึกปกติ เพราะคิดถึงพระองค์ท่านเป็นปกติอยู่แล้วทุกวัน
ใครที่คิดถึงพระองค์ท่านเป็นพิเศษอยู่ในวันนี้หรือช่วงเวลานี้ ขอได้โปรดเตรียมสำรวจใจตัวเองให้ดีๆ
จะคิดถึงพระองค์ท่านเพียงแค่วันที่ ๒๖ ตุลาคม หรือต่อไปอีกพักหนึ่ง แล้วให้กาลเวลาค่อยๆ กลืนหายไป
หรือจะคิดถึงเป็นปกติทุกวัน
เหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้
และทุกๆ วัน ตลอดไป
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐
๑๘:๓๔
…………………………….
…………………………….