บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เหลือเชื่อจริงๆ

เหลือเชื่อจริงๆ

—————

ผมมีลูก ๓ คน เรียนจบและทำงานเป็นหลักฐานหมดแล้ว คนเล็กเป็นทหารเรือ แต่งงานแล้ว มีลูกสาว ๑ คน อายุยังไม่ถึง ๒ ขวบ ส่วนลูกคนโตและคนกลางยังสมัครใจเป็นโสด

ลูกทุกคนปักหลักพักอาศัยอยู่เมืองกรุง ผมกับอาจารย์ผู้หญิงอยู่กันสองคนตายายที่ราชบุรี

ว่ากันว่าสภาพเช่นนี้เป็นปกติธรรมดาของครอบครัวสมัยนี้ คือช่วงปลายๆ พ่อแม่จะอยู่กันตามลำพัง “สองคนตายาย” ซึ่งจะต่างกับสภาพครอบครัวไทยเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วที่พอปลายๆ พ่อแม่จะอยู่กับลูกคนใดคนหนึ่ง

ผมไม่ค่อยวิตกกังวลหรือคิดอะไรเกี่ยวกับสภาพเช่นว่านี้ เพราะเตรียมวางแผนชีวิตตัวเองไว้นานแล้ว และทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรผิดแผน

นานๆ ครั้ง อาจารย์ที่บ้านท่านก็จะชวนผมไปเยี่ยมลูก-ตอนนี้ก็เพิ่มไปเยี่ยมหลานด้วย 

ถ้าเป็นลำพังผม ผมจะเฉยๆ ไม่ค่อยได้ขวนขวายที่จะไปเยี่ยมลูกหลาน เพราะทุกคนก็อยู่สุขสบายเป็นปกติดีอยู่แล้ว ผมก็แค่ดูอยู่ห่างๆ 

พูดตามภาษาพระก็ว่า-ได้แต่เจริญอุเบกขาพรหมวิหารเป็นปกติ 

เวลาลูกๆ กลับบ้านก็รู้สึกอบอุ่นดี ลูกจะพาพ่อแม่ไปกินข้าวนอกบ้าน ซึ่งต้องถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เพราะตามปกติผมกินข้าวบ้าน ร้านอาหารตามห้างที่ผมพอจะได้สัมผัสบรรยากาศ ก็เป็นฝีมือลูกๆ พาไปทั้งสิ้น อยู่กันสองคนตายายไม่รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องไปกินข้าวนอกบ้าน

ชีวิตประจำวันผมนั้น อยู่กับบ้าน อ่านเขียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในพระคัมภีร์ตามแนวทางที่ผมเรียนมา ตอบคำถาม-แลกเปลี่ยนความรู้กับญาติมิตร ชีวิตก็ลงตัว เป็นสุขสบาย ได้ทั้งประโยชน์ส่วนตนและทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ 

พูดตามประสาผมก็ว่า-ตั้งหน้าตั้งตาเก็บบุญใส่ย่ามเป็นเสบียงสำหรับเดินทางไปในสังสารวัฏ

ผมไม่ได้เพิ่งคิดทำอย่างนี้เมื่อเป็นคนแก่อายุ ๖๐-๗๐ 

แต่ผมทำมานานแล้ว ทำมาตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม

ถ้าพิจารณาตามโคลงโลกนิติที่ว่า –

ปางน้อยสำเหนียกรู้ เรียนคุณ

ครั้นใหญ่ย่อมหาทุน ทรัพย์ไว้

เมื่อกลางแก่แสวงบุญ ธรรมชอบ

ยามหง่อมทำใดได้ แต่ล้วนอนิจจัง

(ประชุมโคลงโลกนิติฉบับหอสมุดแห่งชาติ บทที่ ๑๑๕)

ผมก็ “แสวงบุญ” มาตั้งแต่ปางน้อย เพียงแต่ว่าไม่หนักแน่นเข้มข้นเท่ากับเมื่อกลางแก่ เพราะต้องแบ่งชีวิตไปเพื่อ “เรียนคุณ” และ “หาทุนทรัพย์” ไปด้วย

คำสอนในโคลงโลกนิติบทนี้สอดคล้องกับพุทธภาษิตในพระธรรมบทที่ว่า –

อตฺตานญฺเจ  ปิยํ  ชญฺญา 

รกฺเขยฺย  นํ  สุรกฺขิตํ 

ติณฺณมญฺญตรํ  ยามํ 

ปฏิชคฺเคยฺย  ปณฺฑิโต.

(อัตตวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)

ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก 

พึงพิทักษ์ตนให้ดี

บัณฑิตพึงตั้งตนให้ได้

ไม่วัยใดก็วัยหนึ่งในสามวัย

ใครที่คิดว่าเกษียณแล้วค่อยทำบุญ พึงสดับ –

ชราชชฺชริตา  โหนฺติ

หตฺถปาทา  อนสฺสวา

ยสฺส  โส  วิหตตฺถาโม

กถํ  ธมฺมํ  จริสฺสติ.

(จักขุปาลเถรวัตถุ ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ หน้า ๖)

ร่างกายแก่หง่อมเพราะชรา

มือเท้าก็ว่าไม่ฟัง

เรี่ยวแรงกำลังก็สิ้นไร้

แล้วจะเอาอะไรประพฤติธรรม?

ข้อสำคัญ แน่ใจหรือว่าพรุ่งนี้จะยังมีชีวิตอยู่ได้ทำบุญ?

——————–

ปกติผมไม่นิยมเล่าเรื่องตัวเอง เพราะเห็นว่าผู้อ่านได้ประโยชน์น้อย แต่ที่ว่ามาข้างต้นนั้นเป็นเพียงอารัมภบท ไม่ใช่ตัวเรื่องที่ผมอยากเล่า

ตัวเรื่องที่ผมอยากเล่าก็คือ เมื่อสองวันก่อน (๒๘ – ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐) ผมไปเยี่ยมลูกหลานตามคำชวนของอาจารย์ผู้หญิงที่บ้าน ไปค้างบ้านลูกชายคนเล็กที่บ้านซอยวัดหลวงพ่อโต บางพลี

ตอนเช้าผมก็ออกไปเดินออกกำลังอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตร 

ผมเคยเล่าให้ฟังมาครั้งหรือสองครั้งแล้วว่า พอออกจากบ้านมายืนหันหน้าออกถนน ถ้าไปทางขวา ก็จะเป็นถนนบางนา-ตราด ขึ้นสะพานข้ามถนนแล้วเดินเข้ากรุงเทพฯ ก็จะไปถึงตลาดกิ่งแก้ว มีของกินให้เลือกมากมาย

ถ้าไปทางซ้าย ก็คือไปตามซอยเดิม เดินไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึงวัดหลวงพ่อโตซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่าวัดบางพลีใหญ่ใน ก่อนถึงวัดจะมีตลาดย่อมๆ เรียกกันว่า ตลาดลาว ตอนเช้าไม่มีของขาย แต่แถวๆ นั้นก็มีร้านขายโจ๊ก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ขนมครก ฯลฯ พออาศัยฝากท้องได้

เวลาเดินออกกำลังเช้าๆ ผมตั้งอารมณ์เหมือนสมัยเป็นพระออกบิณฑบาต เวลาไปค้างบ้านลูกชาย ไม่ว่าจะเดินไปทางขวาหรือทางซ้ายก็มี “โคจรคาม” พออาศัยได้ตามสมควร

วันแรกผมไปทางตลาดกิ่งแก้ว วันที่สอง คือเมื่อเช้านี้ (๓๐ กรกฎาคม) ผมไปทางวัดหลวงพ่อโต และเพราะไปตามซอยวัดหลวงพ่อโตนี่เองจึงได้เห็นสภาพทางเท้าดังภาพที่ผมถ่ายมาให้ดูกัน

ทางเท้าหลายช่วงถูกปล่อยให้หญ้ารกปกคลุมจนเดินไม่ได้ 

ผมอัศจรรย์ใจตรงที่หน่วยงานที่รับผิดชอบปล่อยให้เกิดสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร

กว่าหญ้าและไม้เล็กไม้น้อยจะโตจนคลุมทางเท้าได้ขนาดนี้ต้องไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่จะต้องใช้เวลาเป็นเดือน

แปลว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ได้มีวงรอบที่จะดูแลรักษาซอยสายนี้เป็นเดือนๆ เช่นนั้นหรือ?

——————–

จากสภาพถนนซอยตรงนี้ ผมนึกไปถึงอีกหลายๆ เรื่องในสังคมเราที่ไม่ได้มีใครกำกับดูแลแก้ไข หากแต่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ตามบุญตามกรรม

แน่นอน หนึ่งในนั้นก็คือกิจการพระศาสนา

ยกตัวอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเข้าพรรษานี้ก็คือ วัดต่างๆ ไม่ได้เคาะระฆังตอนตีสี่ อันเป็นสัญญาณปลุกให้พระเณรลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์เป็นพิเศษเพิ่มขึ้นจากทำวัตรเช้า-เย็นตามปกติ

ในช่วงเวลาเข้าพรรษา ๓ เดือน มีธรรมเนียมวัดทุกวัดเพิ่มเวลาทำวัตรสวดมนต์ตอนตีสี่ขึ้นอีกเวลาหนึ่ง เพิ่มความเข้มข้นของการปฏิบัติกิจวัตรเพื่อเตือนสติให้สำนึกว่า เวลาเข้าพรรษาคือช่วงเวลาปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาให้เข้มข้นขึ้น

เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ช่วงเข้าพรรษาทุกคืนตอนตีสี่เสียงระฆังจะดังระงมจากทุกทิศที่มีวัดตั้งอยู่ 

เสียงสุนัขเห่าหอนรับเสียงระฆังเซ็งแซ่ไปทุกทิศเช่นกัน 

ผมตื่นตามเสียงระฆัง และยกมือท่วมหัว

สงฆ์ท่านตื่นขึ้นทำกิจวัตรเป็นพิเศษถวายเป็นพุทธบูชาในเทศกาลเข้าพรรษาสามเดือน-อนุโมทนาสาธุ

๑๐ ปีมาแล้วที่เสียงระฆังตอนตีสี่ช่วงเข้าพรรษาเงียบสนิท จากค่อยๆ เงียบในทิศนี้ ทิศนั้น แล้วก็ทิศโน้น จนในที่สุดก็เงียบหมดทุกทิศ

มีวัดมหาธาตุ วัดประจำเมืองราชบุรีวัดเดียวที่หลวงพ่อท่านยังรักษาธรรมเนียมนี้ไว้อย่างมั่นคง

๑๐ ปี ไม่ใช่วันสองวัน

เราปล่อยให้กิจวัตรอันดีงามของสงฆ์สูญหายไปได้อย่างไร

เหมือนผู้รับผิดชอบถนนซอยวัดหลวงพ่อโต บางพลี ปล่อยให้ทางเท้าถูกปกคลุมด้วยหญ้าและไม้เล็กไม้น้อยจนคนเดินไม่ได้-ไปได้อย่างไร

เหลือเชื่อจริงๆ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐

๑๙:๔๓

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *