บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เหตุผลของคนไม่เก็บขยะ

เหตุผลของคนไม่เก็บขยะ

———————-

เมื่อวานนี้ (๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙) ชุมชนที่ผมอาศัยอยู่เขาจัดงานทำบุญกลางบ้าน กลุ่มของประธานชุมชนเที่ยวเดินเคาะประตูบ้านหลายวันมาแล้วเชิญชวนให้ไปร่วมงาน

งานทำบุญกลางบ้านนิยมทำกันในช่วงท้ายสงกรานต์ จะว่าไปก็คืองานปิดท้ายสงกรานต์นั่นเอง รูปแบบของงานก็คือมีสวดมนต์เย็น รุ่งขึ้นเลี้ยงพระ แถมด้วยการรดน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน

งานทำบุญกลางบ้านเดี๋ยวนี้ได้ยินเรียกกันว่า “ทำบุญกลางแจ้ง”

ถ้ามีโอกาสคงต้องคุยกันเรื่องชื่องานสักที

ชุมชนที่ผมอยู่มีทำบุญกลางบ้านทุกปี ผมก็ร่วมมือด้วยการบริจาคสมทบทุนทุกปี แต่ไม่ค่อยได้ไปร่วมพิธี พอดีเมื่อวานเป็นวันส่งอุโบสถ ผมสมาทานศีลแปดตามปกติ ก็เลยเกิดศรัทธาอยากจะไปฟังพระสวดมนต์

ตามกำหนดการ พระสวดมนต์ห้าโมงเย็น เสร็จแล้วรดน้ำผู้สูงอายุ ผมกะไว้ว่าพระสวดมนต์เสร็จก็จะแอบกลับ 

ผมไปถึงบริเวณที่จัดงานห้าโมงตรง ตรงที่จัดพิธีสงฆ์ยังไม่มีใครเลย ผมเข้าไปนั่งเป็นคนแรก นั่งเจริญสติอยู่ชั่วโมงหนึ่งพระจึงมา 

การไม่บริหารจัดการให้ตรงเวลาเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ค่อยอยากไปร่วมงาน นอกเหนือไปจากเครื่องขยายเสียงที่เปิดเพลงสุดจะหนวกหู

พอดีนักการเมืองท้องถิ่นระดับรองนายกเทศมนตรีท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกันเข้ามานั่งคุยด้วยตั้งแต่ก่อนเริ่มพิธี พอพระสวดมนต์จบท่านก็เลยจับตัวผมให้ไปนั่งเข้าแถวรับการรดน้ำด้วย

ก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้ผมเขียนเรื่องนี้

เรื่องก็คือ ในช่วงเวลารดน้ำผู้สูงอายุนั่นเอง นักการเมืองท้องถิ่นรวมทั้งนักการเมืองระดับประเทศก็ปรากฏตัวขึ้น มีการแนะนำตัวด้วยของที่ระลึกตามภาพประกอบที่ผมถ่ายไว้นั้น

มาดของท่านเหล่านี้ก็คือพนมมือไปทั่วทิศทั้งสิบ ปวารณาตัวเป็นผู้รับใช้ประเทศชาติและประชาชน

นักการเมืองระดับประเทศท่านหนึ่งยังคงใช้วิธีหาเสียงที่เคยใช้มาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือสืบทราบว่าที่ไหนมีคนไปชุมนุมกันมากๆ (ที่เหมาะที่สุดคืองานศพ) ก็จะฉวยโอกาสไปปรากฏตัวทันที วิธีนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เรียกว่าชุบมือเปิบกันเต็มๆ

ถ้ามีหลายงานก็จะบอกเจ้าภาพตรงๆ เลยว่า เดี๋ยวกระผม/ดิฉันจะต้องรีบไปงานโน้นอีก- เว้ากันซื่อๆ อย่างนี้เลย

เมื่อวานนี้ พอยกมือไหว้คนโน้นคนนี้ ประกาศชื่อเสียงเรียงนามเสร็จ (ขาดแต่ยังไม่ได้บอกว่าเบอร์อะไร!) ท่านผู้นั้นก็พูดประโยคสำเร็จรูปดังกล่าวนั้นแล้วก็หายตัวไป

ผมเชื่อว่า นักเลือกตั้ง-เอ๊ย- นักการเมืองที่อื่นๆ ก็คงจะใช้วิธีคล้ายๆ กันนี้ทั่วไปหมด

ในชีวิตประจำวัน ประชาชนจะสุขจะทุกข์ จะมีปัญหาร้อยแปดอะไร เราจะไม่ได้เห็นตัวท่านเหล่านี้ เหมือนกับว่าเราอยู่กันคนละโลก

แต่พอมีกิจกรรมชุมนุมประชาชนที่ไหน ท่านจะไปแสดงตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชนทันที

ตอนนี้นักการเมืองทั้งหลายเก็บตัวกันเงียบเหมือนกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ในประเทศนี้ แต่พอถึงเวลาเปิดให้มีการเลือกตั้งกันอีก ก็จะโผล่ออกมา แสดงบทบาทเดิมๆ ที่เคยแสดงกันมาแล้ว-ในนามผู้รับใช้ประเทศชาติและประชาชน

————

ประเด็นของผมอยู่ตรงที่ว่า การที่ใครจะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนนั้นทำไมจะต้องรอให้มีการเลือกตั้ง คือว่าทำไมจะต้องไปผ่านระบบเลือกตั้งเสียก่อน?

ตอนนี้บ้านเมืองของเรากำลังมีปัญหานั่นนี่โน่นมากมาย คนที่เคยประกาศตัวเป็นผู้รับใช้บ้านเมืองก็ยังมีชีวิตอยู่ ความรู้ความสามารถที่จะช่วยกันแก้ปัญหาก็มีอยู่พร้อม

ติดขัดอยู่อย่างเดียว ออกมาช่วยกันทำงานไม่ได้เพราะไม่มีการเลือกตั้ง

คือเราไปตั้งกติกากันไว้ว่า ใครที่จะทำงานเพื่อบ้านเมืองจะต้องมีตำแหน่งที่ได้มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น

ก็เลยกลายเป็นค่านิยม หรือเป็นหลักการว่า การแก้ปัญหาของบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของคนที่มีตำแหน่ง คนไม่มีตำแหน่งก็ไม่ต้องทำอะไร 

ใครขืนไปทำเข้าจะถูกตำหนิเอาด้วยซ้ำว่า ไม่รู้จักหน้าที่

ผมเคยอ่านจากที่ไหนนึกไม่ออก เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่เกิดสงคราม คนที่มีสติปัญญา มีฝีมือ แต่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่ทำอะไร อ้างแต่ว่าฉันไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ใครเขามีตำแหน่งก็ให้เขาออกไปรบสิ ผลสุดท้ายก็เลยเสียบ้านเสียเมืองไปด้วยกันทั้งหมด

เหตุผลที่ยกขึ้นมาอธิบายกันก็ว่า ตำแหน่งหน้าที่นั้นมีอำนาจกำกับไว้ให้ด้วย คนไม่มีตำแหน่งจะเอาอำนาจอะไรไปทำ ขืนไปทำเข้าก็ยุ่ง

ฟังดูก็เป็นเหตุเป็นผลดีอยู่ นักการเมืองเขาก็คงถือเหตุผลแบบนี้ จึงต่างก็สงบเงียบอยู่ในมุมของตน 

กลายเป็นว่า จะทำความดีต้องมีตำแหน่ง-ถือกันอย่างนี้ไปโดยปริยาย

อันที่จริง เมื่อก่อนสังคมเรามีตำแหน่ง “พลเมืองดี” เด็กๆ ได้เรียนวิชา “หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม” แต่เราเลิกสอนกันไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นก็จึงเป็นอันไม่ต้องหวังว่าจะมีใครลุกขึ้นมาทำหน้าที่พลเมืองดีกันในสมัยนี้

แปลกดีนะครับ 

ปัญหาของบ้านเมืองมีมากมาย ก็เห็นกันอยู่

คนมีความรู้ความสามารถ ประกาศตัวว่าพร้อมจะรับใช้ประเทศชาติและประชาชนก็มีอยู่ทั่วไป

แต่ไม่มีใครลุกออกมาช่วยกันแก้ปัญหา

ด้วยเหตุผลที่สำคัญที่สุดเพียงข้อเดียว-ฉันไม่มีตำแหน่งหน้าที่

————

วันหนึ่ง ในช่วงเวลาเดินออกกำลังตอนเช้า ผมผ่านไปทางถนนเล็กๆ สายหนึ่ง มองไปข้างหน้าเห็นถุงขยะถุงหนึ่งนอนกลิ้งอยู่เกือบกลางถนน

ผมหยุดเดิน ซุ่มสังเกตอยู่แถวนั้น 

เรียนรู้ชีวิตจากเหตุการณ์จริง

มีรถแล่นผ่านไปมาเป็นระยะๆ

มีคนเดินผ่านไปมาเป็นระยะๆ

แต่ถุงขยะยังนอนอยู่ที่เดิม

…………

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙

๑๖:๑๒

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *