แล้วจะเรียนบาลีไปทำไม?
แล้วจะเรียนบาลีไปทำไม?
————————-
แม่กองบาลีสนามหลวงประกาศเลื่อนการสอบบาลีสนามหลวงออกไปโดยไม่มีกำหนด สาเหตุเนื่องมาจากการกลับมาแพร่ระบาดของโรคโควิด
การศึกษาพระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์ไทยมี ๒ สาย คือสายนักธรรมและสายบาลี กำหนดสอบเลื่อนชั้นปีละครั้ง
วันสอบกำหนดเป็นวันทางจันทรคติยืนพื้น
—————
วันทางจันทรคติคือวันขึ้น-แรม เดือนอ้ายเดือนยี่
วันทางสุริยคติคือวันที่- เดือนมกรา-กุมภา
ธรรมเนียมไทยของเรากำหนดงานกันด้วยวันทางจันทรคติทั้งสิ้น
เพียงแค่เมื่อผมเป็นเด็ก ผู้ใหญ่สมัยนั้นพูดถึงวันเดือนปีกันด้วยขึ้น-แรม เดือนอ้ายเดือนยี่ปีชวดฉลู
ไม่ใช่วันที่- เดือนมกรา-กุมภา ปี พ.ศ.เท่านั้นเท่านี้เหมือนคนไทยรุ่นปัจจุบัน
(ซึ่ง-ปี-ก็เริ่มจะทิ้ง พ.ศ. เปลี่ยนไปใช้ ค.ศ. กันแทบจะทั้งประเทศอยู่แล้ว)
ทุกวันนี้คนไทยรุ่นใหม่คุ้นเคยกับวันทางสุริยคติกันหมดแล้ว
พร้อมกับที่เริ่มจะไม่รู้จักวันทางจันทรคติกันหมดแล้วด้วย
ที่เห็นได้ชัดมากๆ ก็คือ คนรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้และไม่ได้คิดถึงว่า ในรอบสัปดาห์ เมื่อไรเป็นวันพระ
คณะสงฆ์ไทยยังคงยึดวันทางจันทรคติในการทำกิจสำคัญๆ
เพราะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนากำหนดด้วยวันทางจันทรคติทั้งสิ้น
—————
กำหนดสอบบาลีสนามหลวงปีละ ๑ ครั้ง แต่แบ่งเป็น ๒ ช่วง
(๐) ช่วงแรก ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ ใช้เวลา ๕ วัน
สอบประโยค ป.ธ.๖-๗ ๒ วัน
ต่อด้วยประโยค ป.ธ.๘-๙ อีก ๓ วัน
(๐) ช่วงหลัง แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ใช้เวลา ๓ วัน
สอบประโยค ๑-๒ และ ป.ธ.๓-๔-๕ ใช้เวลา ๒ วัน
เฉพาะประโยค ป.ธ.๓ สอบต่อไปอีก ๑ วัน
……………………..
*หมายเหตุ เฉพาะประโยค ๑-๒ และ ป.ธ.๓-๔-๕ หลังจากตรวจข้อสอบแล้ว ถ้ามีบางวิชาที่ไม่ผ่าน กำหนดให้สอบซ่อมเฉพาะวิชานั้นได้อีกครั้งหนึ่ง
……………………..
ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ ที่จะถึงข้างหน้า ตรงกับวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔
แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
เป็นอันว่าวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ จะไม่มีการสอบบาลีประจำปี ๒๕๖๔
จะสอบเมื่อไรต้องรอฟังประกาศต่อไป
—————
พอเลื่อนสอบ การอบรมเข้มเพื่อเตรียมตัวสอบก็พลอยชะงักตามไปด้วย
การเรียนบาลีในบ้านเรามีมุมอับ คือเรียนคัมภีร์ระดับอรรถกถาฎีกาเพียง ๕ คัมภีร์
คัมภีร์พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม ไม่ได้เรียน
อรรถกถาฎีกาอีกเป็นอันมากก็ไม่ได้เรียน
มิหนำซ้ำยังเป็นการเรียนเพียงครึ่งทาง คือพอสอบประโยค ป.ธ.๙ ได้ ก็หยุดอยู่แค่นั้น บอกกันว่าเรียนจบแล้ว
ไม่ได้เอาความรู้ที่เรียนมาไปใช้งาน
งานของนักเรียนบาลีก็คือ ศึกษาพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาทั้งปวง ซึ่งก็คือศึกษาพระธรรมวินัยอันเป็นตัวพระศาสนา
เรามีแผนกันแค่ “เรียนจบ”
แต่จบแล้วเอาความรู้บาลีไปใช้งาน เราไม่มีแผน
อาจจะมีหรือเคยมี แต่เราไม่เคยเอาแผนนั้นมาใช้จริง
อย่างดีที่บางส่วนทำกันอยู่ก็คือ เรียนจบแล้วเป็นครูสอนบาลี เพื่อให้มีคนจบบาลีต่อไปอีก และวนอยู่ในวงจรนี้เรื่อยไป
เราจึงมีคนจบบาลีเยอะ
แต่คนทำงานค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกามีน้อยอย่างยิ่ง จนแทบจะเป็นศูนย์
แล้วก็มีคนออกมาแก้ต่างหรือแก้ตัวให้กันว่า-เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับอัธยาศัยของแต่ละคน บังคับกันไม่ได้ (คือบังคับไม่ได้ว่า-เรียนบาลีจบแล้วต้องใช้ความรู้ค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาต่อไป ใครจะทำหรือไม่ทำเป็นไปตามอัธยาศัย!!)
และเราก็มีคนที่สนับสนุนส่งเสริมให้คนเรียนให้จบบาลีเยอะด้วย
แต่คนที่สนับสนุนส่งเสริมให้คนเรียนจบบาลีแล้วใช้ความรู้บาลีไปศึกษาพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาต่อไป มีน้อยอย่างยิ่ง จนแทบจะเป็นศูนย์เช่นกัน
เราไม่ได้บอกเน้นย้ำกันไปตั้งแต่ต้นว่า เรียนบาลีมีเป้าหมายอยู่ที่ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาอันเป็นตัวพระศาสนา
เราได้แต่บอกกันว่า เรียนบาลีมีเป้าหมายอยู่ที่ประโยค ๙
พอสอบประโยค ๙ ได้ ก็บอกกันว่าบรรลุเป้าหายแล้ว
เพราะตั้งเป้าหมายกันแค่ครึ่งทางแบบนี้ คนเรียนบาลีก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก และไม่เห็นคุณค่าของการทำงานบาลี
เพียงแค่ประกาศเลื่อนสอบบาลี จึงดูเหมือนว่าการทำงานบาลีจะต้องหยุดไปด้วย
ความจริงแล้วงานบาลีมีให้ทำอีกมาก หรือจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่า งานบาลีที่ถูกทิ้งค้างไว้ไม่มีคนทำยังมีอีกเป็นปริมาณมหึมา
แต่เพราะเราตั้งเป้าหมายไว้ที่สอบได้ จึงมองไม่เห็นงานที่จะต้องทำ
แต่ที่หนักไปกว่านั้น คือมองไม่เห็นประโยชน์ของงานที่ควรจะทำ-หรือพูดให้ถูก-งานที่เป็นหน้าที่โดยตรงที่จะต้องทำ
—————
คาถาพาหุงนั้น ถ้าเทียบกับพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาที่เรามีอยู่และรอการศึกษาค้นคว้า ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ
เมื่อผมบอกว่าจะทำเรื่องคาถาพาหุง และขอร้องขอแรงไปตามบรรดาญาติมิตรที่เป็นนักเรียนบาลีให้ช่วยกันทำงานนี้
มีคนร้องถามว่าจะทำไปทำไม?
ผมควรจะตอบอย่างไรดี?
หรือควรจะร้องถามกลับไปว่า-แล้วจะเรียนบาลีไปทำไม?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
๑๖:๑๐
…………………………….
ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย…………………………….